หากลูกน้อยปวดหัว คุณพ่อคุณแม่อย่าได้นิ่งนอนใจ เพราะอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากภาวะผิดปกติทางระบบประสาท หรือเป็นการปวดหัวด้วยโรคกลุ่มอื่นๆ เช่น ไมเกรน เป็นต้น
อาการปวดหัวของลูกเกิดขึ้นจากสาเหตุใดได้บ้าง?
- อาการปวดศีรษะชนิดปฐมภูมิ Primary headache คือ กลุ่มอาการปวดศีรษะโดยไม่มีสาเหตุ เช่น กลุ่มโรค ไมเกรน (Migraine) ซึ่งพบได้บ่อย หรือ Tension headache
- อาการปวดศีรษะชนิดทุติยภูมิ Secondary headache คือ กลุ่มอาการปวดศีรษะโดยมีสาเหตุจากภาวะผิดปกติทางระบบประสาทแล้วทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น เช่น การที่มีก้อนเนื้องอกในระบบประสาท หรือการติดเชื้อในระบบประสาท หรือภาวะที่มีเส้นเลือดผิดปกติที่ระบบประสาท เหล่านี้ล้วนสามารถก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะได้เช่นเดียวกัน
หากลูกน้อยมีอาการปวดหัวแบบนี้ ทางที่ดีควรรีบพาไปพบแพทย์
ก่อนอื่นเราต้องมาดูก่อนว่าลูกมีสัญญาณเตือนของปวดหัวทุติยภูมิที่เป็นอันตรายหรือไม่ โดยหมอให้จำคำย่อง่ายๆ ดังนี้คือ เมื่อไหร่ที่อาการปวดหัวร่วมกับ “มาก อ่อน ซ้อน เซ ชัก อาเจียน” ซึ่งก็คือ
- ปวดหัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิม มากจนทำกิจกรรมไม่ได้ตามปกติ หรือปวดจนตื่นมากลางดึก
- มีอาการอ่อนแรง หรือเดินเซ มีอาการชัก
- ตามองเห็นภาพซ้อน
- มีอาการอาเจียน
นอกจากนี้แล้ว หากลูกยังอายุน้อยแล้วบ่นปวดหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 3 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่ควรรีบพามาปรึกษาแพทย์
อาการปวดหัวที่พบบ่อยในเด็ก
อาการปวดหัวของเด็กนั้น เป็นอาการที่เด็ก ๆ มักจะเป็นชนิดปฐมภูมิซึ่งไม่มีสาเหตุชัดเจนค่ะ แต่อย่างไรก็ดีส่วนใหญ่แล้วมักถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยพบว่ามีคนในครอบครัวอาจจะมีอาการปวดหัวบ่อยๆ หรือเคยได้รับการวินิจฉัยเป็นไมเกรนมาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็มักจะนึกถึงว่าไมเกรนจะต้องปวดหัวข้างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการปวดหัวไมเกรนในเด็กจะปวดแบบสองข้างหรือหนึ่งข้างก็ได้ อาจมีอาการซีด คลื่นไส้ อาเจียน กลัวแสง กลัวเสียง ยากที่จะนอนหลับ ซึ่งอาการที่พบบ่อยก็คือ อาการทางสายตาร่วมกับการมึนหรือเวียนศีรษะ แต่ถ้าช่วงไหนหายเป็นปกติดีแล้ว ก็ดูเหมือนคนที่ไม่เคยมีอาการใดๆ มาก่อนเลย
จะดูแลอย่างไร เมื่อ “ลูกปวดหัว” ?
หากมิใช่เป็นปวดหัวที่มาจากความดันในกะโหลกศีรษะสูงแล้ว จัดอยู่ในกลุ่มปวดหัวชนิดปฐมภูมิ คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกได้ ยกตัวอย่างเช่น
- กรณีที่ปวดหัวแบบไม่รุนแรง โดยลูกยังสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างปกติ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถดูแลลูกได้ด้วยการสังเกตและเฝ้าติดตามอาการในเบื้องต้น ลองประเมินว่ามีปัจจัยใดกระตุ้นให้ลูกปวดหัวหรือไม่ เช่น ในที่ที่มีแดดร้อนจัดหรือเสียงดัง การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีอาการไข้ไม่สบายอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่
- หากอาการปวดหัวเป็นมากจนกระทบต่อกิจกรรมที่ทำอยู่ คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ยาแก้ปวดกับลูก ยกตัวอย่างเช่น ยาพาราเซตามอล ซึ่งเป็นยาที่ปลอดภัย และจัดลูกนอนพักผ่อนให้เต็มที่ หากยังไม่ดีขึ้นควรพิจารณาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง