วิตามินซีมากเท่าไหร่...ถึงดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน

เราต่างก็ทราบกันดีว่าภูมิคุ้มกันร่างกาย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้เราป่วยยาก มีสุขภาพแข็งแรง แต่ทั้งนี้หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า “วิตามินซี” นั้น ถือเป็นวิตามินสำคัญที่มีส่วนในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงมากขึ้น เนื่องจากจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพ วันนี้ ทาง รพ. พญาไท 3 จึงมีความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการวิตามินซีมาฝากกันว่า มีแนวทางในการทานอย่างไรได้บ้าง เพื่อเสริมสร้างให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากที่สุด

ภูมิคุ้มกันจะแข็งแรงได้ ร่างกายต้องได้วิตามินซีเท่าไรต่อวัน?

ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดได้นั้น ร่างกายต้องการวิตามินอยู่ที่ 1,000 – 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งความลับที่หลายๆ คนอาจไม่เคยทราบมาก่อนเลยก็คือ ผลการวิจัยศึกษาเรื่องการดูดซึมวิตามินซีในร่างกายคนเรานั้น บ่งชี้ว่า ร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีได้เฉลี่ยประมาณ 200-400 มิลลิกรัมต่อครั้งเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ต่อให้เราทานวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม ร่างกายก็ดูดซึมได้เพียงแค่ 400 มิลลิกรัมต่อครั้งเท่านั้น ดังนั้นการรับประทานวิตามินซีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือ แบ่งทานวิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม 2-6 มื้อต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณวิตามินครบถ้วนเพียงพอต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงนั่นเอง

นอกจากนั้นแล้ว ข้อควรระวังสำคัญของการรับประทานวิตามินซีก็คือ เมื่อทานแล้วควรดื่มน้ำตามมากๆ อย่างน้อย 1-2แก้ว เพื่อไม่ให้เสี่ยงตกตะกอนจนอาจเป็นนิ่วได้ ดังนั้น ทางที่ปลอดภัยที่สุดเลยจึงควรทานวิตามินซีในช่วงระหว่างวัน หลีกเลี่ยงการทานก่อนนอน เนื่องจากเราอาจไม่ได้ดื่มน้ำตามมากอย่างพอเพียง และ สำหรับผู้ที่มีปัญหาทางระบบย่อยอาหาร การทานวิตามินซีมาเกินไปอาจเกิดการระคายเคืองได้ง่าย เช่น แสบท้อง หรือ ถ่ายเหลว เป็นต้น

การ Drip วิตามินซี คืออะไร ต่างจากการรับประทานตรงไหน?

นอกจากการรับประทานวิตามินซีเป็นเม็ดแล้ว เรายังสามารถนำวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยวิธีการ Drip หรือ การให้ผ่านทางหลอดเลือดดำ คล้ายการให้ยาทางสายน้ำเกลือได้ด้วย ซึ่งการรับวิตามินซีด้วยการ Drip นั้น จะมีข้อดีที่แตกต่างจากการรับประทานแบบปกติคือ ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณความเข้มข้นสูงในคราวเดียว เพราะร่างกายจะดูดซึมได้อย่างเต็มที่ ต่างจากการรับประทานที่ดูดซึมได้เพียงแค่ประมาณครั้งละ 200-400 มิลลิกรัม จึงทำให้ง่าย สะดวก ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และใช้เวลาเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ต้องทานวันละหลายๆมื้อ ไม่เพียงเท่านั้น การ Drip วิตามินซี ส่วนใหญ่แล้วจะทำเป็นโปรแกรม ซึ่งเรียกว่า Immune Booster อันเป็นการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแบบเข้มข้น ซึ่งจะมีวิตามิน และกรดอะมิโนจำเป็นอื่นๆ รวมอยู่ด้วย ส่งผลให้เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ดีกว่าการรับประทานปกตินั่นเอง

การ Drip วิตามินซี มีข้อควรระวังหรือไม่?

ในการ Drip วิตามินซี หรือการเข้าโปรแกรม Immune Booster เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายนั้น เนื่องจากเป็นการให้วิตามินปริมาณเข้มข้น จึงมีข้อควรระวังเช่นกันในบางกรณี โดยมีรายละเอียด ได้แก่

• ผู้ป่วยโรคไต แพทย์จะต้องทำการประเมินไตดูก่อนว่าอยู่ในสภาวะปกติหรือไม่ เพราะหากค่าไตสูงเกินไป อาจส่งผลต่อการกำจัดวิตามินส่วนเกินออกจากร่างกาย
• ผู้ป่วยเม็ดเลือดแดงแตกง่าย คือภาวะที่ร่างกายมีเอนไซม์ G6PD บกพร่อง ซึ่งหากได้รับวิตามินในปริมาณเข้มข้น) ก็อาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกตัว
• ผู้มีประวัติแพ้วิตามินซี แพทย์จะทำการซักประวัติสอบถามอาการก่อน ซึ่งหากพบว่าแพ้วิตามินซี ก็จะไม่แนะนำให้รับโปรแกรมการ Drip วิตามินแบบเข้มข้น
• เด็ก อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการ Drip วิตามินความเข้มข้นสูง เพราะร่างกายยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต มีความแข็งแรง เพียงแค่รับประทานเสริมอย่างต่อเนื่อง ในปริมาณที่เหมาะสมก็เพียงพอ

บทบาทของวิตามินซีนั้น ถือว่าสำคัญมากต่อการเสริมสร้างให้ร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง อันนำมาซึ่งสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ โดยเราสามารถเลือกได้ว่า จะเพิ่มวิตามินซีให้ร่างกายด้วยวิธีไหน ระหว่างการรับประทาน หรือว่าการ Drip ผ่านทางหลอดเลือด ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน คือ ถ้าไม่อยาก สัมผัสเข็ม ก็เลือกวิธีการรับประทานแทนได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ต้องทานวันละหลายมื้อ และต้องทานต่อเนื่องเป็นประจำ เป็นระยะเวลายาวนานด้วย กว่าที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะเพิ่มระดับสูงขึ้น แต่ถ้าหากเราต้องการเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพนั้น การ Drip วิตามินผ่านโปรแกรม Immune Booster ก็ถือว่าตอบโจทย์มากกว่า เพราะการทำเพียงหนึ่งครั้ง เราจะได้รับวิตามินอื่น ที่มีประโยชน์นอกเหนือจากวิตามินซีด้วย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพสูง ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับสถานการณ์การแพร่เชื้อของโรคระบาดและภาวะมลพิษในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง