เมื่อไหร่นะ…ที่จะต้องสแกนสมอง ?
หากคุณมีอาการที่บ่งบอกถึงภาวะกระโหลกร้าว เลือดไหลในสมอง หมดสติ ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ตกจากความสูงมากกว่า 3 ฟุต หรือมาพบแพทย์ด้วยอาการดังต่อไปนี้
- มีอาการชัก
- ปวดหัวรุนแรง
- อาเจียนบ่อยครั้ง
- สมรรถภาพในการมองลดลง
- ตาดำข้างหนึ่งใหญ่กว่าอีกข้าง
- กดแล้วเจ็บที่บริเวณเหนือกระโหลก
- มีปัญหาการพูด การได้ยิน และการกลืน
- มีของเหลวหรือเลือดออกมาจากหูและจมูก
- กล้ามเนื้อใบหน้าหรือร่างกายข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง
CT Scan จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดลำดับแรกที่แพทย์จะเลือกใช้เพื่อประเมินสาเหตุของอาการผิดปกติ แต่หากคุณมีอาการข้างต้นต่อเนื่องมากกว่า 48 ชั่วโมงหลังได้รับบาดเจ็บ หรืออาการเหล่านั้นแย่ลง MRI อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
MRI ต่างจาก CT Scan อย่างไร ?
ปัจจุบันการตรวจค้นหาความผิดปกติของอวัยวะภายในต่างๆ มีความก้าวหน้ามากขึ้น เทคโนโลยีการตรวจที่มีการใช้แพร่หลาย ทั้งการตรวจด้วย CT (computerized tomography) และ MRI (magnetic resonance imaging) แม้การตรวจสองวิธีนี้ จะมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่ก็มีความแตกต่างกันหลายอย่าง คือ
- CT scan ต้องใช้รังสี แต่ MRI ไม่ใช้รังสี
การตรวจ CT scan จะใช้วิธีการปล่อยลำแสง x-ray ผ่านลำตัวผู้รับการตรวจเพื่อให้เกิดเงาภาพบนฉากที่รองรับลำแสงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของลำตัว ในขณะที่ MRI ใช้วิธีการสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบตัวผู้รับการตรวจ และคอยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในสนามแม่เหล็กนั้น โดยไม่มีการใช้ลำแสง x-ray โดยการสัมผัสคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าว ในปัจจุบันยังไม่พบว่ามีผลกระทบกับสุขภาพ ดังนั้นการตรวจ MRI จึงมีความปลอดภัยมากกว่าการตรวจ CT
- MRI เหมาะกับการตรวจเนื้อเยื่ออ่อน แต่ CT เหมาะกับการตรวจกระดูก
การตรวจ MRI อาศัยการตรวจจับการเคลื่อนที่ของโปรตอนของน้ำ ในระหว่างที่อยู่กลางสนามแม่เหล็ก ดังนั้นอวัยวะที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมาก เช่น เนื้อเยื่ออ่อน กล้ามเนื้อ หลอดเลือด เนื้อสมอง ฯลฯ ก็จะสร้างสัญญาณให้ตรวจจับได้ดี ในขณะที่กระดูกซึ่งแทบจะไม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ จะไม่สามารถสร้างสัญญาณให้ตรวจจับโดยเครื่อง MRI ได้ ดังนั้นหากต้องการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับกระดูก จึงควรเลือกตรวจด้วย CT scan
- CT ใช้เวลาในการตรวจสั้นกว่า MRI
เครื่องตรวจ CT อาศัยการปล่อยลำแสงผ่านลำตัวผู้ตรวจไปพร้อมๆ กับการหมุนรอบตัวผู้รับการตรวจไปด้วย ระยะเวลาที่ใช้ในการหมุนให้ครบรอบนั้นกินเวลาเพียง 1-2 วินาทีเท่านั้น ก็ได้ภาพรอบด้านของบริเวณนั้น ดังนั้นระยะเวลารวมที่ต้องใช้ในการตรวจ CT จึงมักจะไม่เกิน 10-15 นาที ในขณะที่การตรวจด้วย MRI ต้องใช้เวลานานมากกว่า ซึ่งในบางครั้งอาจนานถึง 1 ชั่วโมงได้ จึงอาจเป็นปัญหาให้กับผู้เข้ารับการตรวจบางรายที่กลัวการอยู่ในที่แคบได้ (claustrophobia)
- สารเพิ่มความชัดของภาพ (contrast media) ที่ใช้แตกต่างกัน
สำหรับการตรวจ CT ต้องมีการฉีดสารทึบแสงให้กับผู้ป่วยเพื่อเพิ่มความชัดเจนของภาพ ซึ่งสารทึบแสงมักจะเป็นชนิดที่มีส่วนประกอบของไอโอดีน (iodine) และมีโอกาสทำให้เกิดพิษกับไตได้ จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษหากทำการตรวจ CT scan ในผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนการตรวจ MRI นั้น สารเพิ่มความชัดของภาพจะเป็น Gadolinium ที่ไม่ได้มีไอโอดีน (iodine) เป็นส่วนประกอบ จึงไม่ทำให้เกิดพิษกับไต อย่างไรก็ตาม สารที่ใช้ในการตรวจ MRI นั้น อาจทำให้เกิดความผิดปกติของผิวหนังในระยะยาวได้ ซึ่งเรียกว่า Nephrogenic systemic fibrosis โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไต ที่วัดด้วยค่า glomerular filtration rate (GFR) น้อยกว่า 30 มล./นาที
- โลหะเป็นของต้องห้ามสำหรับ MRI
การตรวจ MRI ผู้รับการตรวจจะต้องเข้าไปอยู่ในสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ ดังนั้น หากมีโลหะทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เข้าไปอยู่ในสนามแม่เหล็กนั้นด้วย ก็อาจทำให้เกิดการเคลื่อนที่ และเป็นอันตรายได้ ดังนั้นส่วนมากหากมีเครื่องมือทางการแพทย์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นโลหะอยู่ในร่างกาย มักจะเป็นข้อห้ามสำหรับการตรวจ MRI ส่วนการตรวจ CT scan นั้น สามารถทำการตรวจในผู้รับการตรวจที่มีโลหะได้ เพียงแต่ภาพที่ได้อาจมีความเบลออยู่บ้าง เนื่องจากโลหะมักจะทึบและลำแสง x-ray ผ่านไม่ได้จึงมักปรากฎเงาบริเวณใกล้ๆ กับโลหะเหล่านี้ได้นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้มีการนำ CT Scan และ MRI มาใช้ในการตรวจ screening เพื่อค้นหารอยโรคก่อนได้เช่นกันโดยไม่ต้องรอให้เกิดความผิดปกติก่อนหรือเหตุการณ์เลวร้ายก่อน ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ด้วยเช่นกัน