ปวดหลัง...สัญญาณบอก(หลาย)โรคที่ไม่ควรมองข้าม

ปวดหลัง...สัญญาณบอก(หลาย)โรคที่ไม่ควรมองข้าม

อาการปวดหลัง เกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งจะส่งผลให้มีอาการปวดหลังที่แตกต่างกันออกไป เช่น ปวดหลังจากกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ หมอนรองกระดูกสันหลังอักเสบ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือจากสาเหตุอื่นๆ ซึ่งเมื่ออาการลุกลามก็จะแสดง “อาการปวดหลัง” ที่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน

 

ปัจจัยที่ทำให้เกิด “อาการปวดหลัง” มีอะไรบ้าง?

  • ที่นอนที่แข็งหรือนิ่มเกินไป ไม่ถูกต้องตามสรีระ
  • การยกของหนัก ถือของหนัก ก้มยกของผิดวิธี
  • การสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคตินทำให้หมอนรองกระดูกได้รับออกซิเจนน้อยลง จึงเสื่อมและยุบตัวเร็วกว่าปกติ
  • ภาวะกระดูกพรุนหรือบางเปราะ
  • ภาวะอ้วน หรือน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ส่งผลใหห้มอนรองกระดูกสันหลังและก้นกบต้องรับภาระแบบน้ำหนักมากขึ้นกว่าคนน้ำหนักตัวปกติ
  • ออฟฟิศซินโดรม นั่งทำงานนานๆ หรืออยู่ในท่าทางการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ

 

“อาการปวดหลัง” สัญญาณนี้บอกถึงอะไรได้บ้าง ?

  • ปวดหลังจากการยกของหนัก : กล้ามเนื้ออักเสบ กระดูกหรือหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน
  • ปวดแนวกระดูกกลางหลัง : มีปัญหาที่หมอนรองกระดูกสันหลัง หรือข้อต่อกระดูกสันหลัง
  • ปวดหลังเยื้องออกมาด้านข้าง : กล้ามเนื้อหลังมีความผิดปกติ
  • ปวดร่วมกับมีอาการชา-อ่อนแรง : ระบบประสาทเส้นประสาทผิดปกติ
  • ปวดร้าวเหมือนไฟฟ้าช็อต : เส้นประสาทอาจถูกกดเบียด
  • ปวดหลังแบบล้าๆ เมื่อยๆ : อาจเกิดจากกล้ามเนื้อ

 

ปวดหลังระดับไหน?…ควรรีบไปพบแพทย์

แน่นอนว่าโรคเหล่านี้ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลัง แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีอาการปวดในระดับเดียวกัน จึงไม่ควรชะล่าใจ ปล่อยให้ความเจ็บปวดอยู่กับเรานาน จำเป็นต้องสังเกตตัวเราเองว่ามีความเจ็บอยู่ในระดับใด โดยระดับความเจ็บปวดจากอาการปวดหลังนั้น เริ่มตั้งแต่ไม่รุนแรง เช่น ปวดเมื่อยตามตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไปถึงขั้นรุนแรงจนส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น อาการปวดร้าวลงขา ปวดคล้ายเข็มทิ่ม หรือปวดแบบเสียวแปลบ ที่สำคัญ คือ หากมีอาการปวดนานเรื้อรัง มีอ่อนแรงหรือชา มีไข้ ปวดกลางคืนนอนพักไม่หาย มีปัญหาขับถ่ายผิดปกติร่วม ควรรีบปรึกษาแพทย์ อาจมีการสั่งตรวจเพิ่มเพื่อหาสาเหตุและอาการของโรคอย่างแน่ชัด เช่น การตรวจเอกซเรย์ (X-ray) การสร้างภาพกระดูกสันหลังด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT SCAN) เป็นต้น

 

ปวดหลัง…หายได้ หากรักษาตรงจุด

หลังจากที่เราทราบแล้วว่าเรามีอาการอย่างไร ก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการการรักษาที่ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งการรักษาเบื้องต้นสำหรับอาการปวดที่ไม่รุนแรง อาจแค่รับประทานยาแก้ปวดหรือยาคลายกล้ามเนื้อ หรือการทำกายภาพบำบัด แต่ถ้าอาการปวดเพิ่มมากขึ้นจนกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ลุก นั่ง ยืน เดินลำบาก อาจต้องรักษาโดยการฉีดยาเข้าเส้นประสาทสันหลัง หรือการผ่าตัดแบบแผลเล็ก หลังจากการผ่าตัดต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 1-3 วัน ซึ่งควรได้รับคำแนะนำจากทีมแพทย์ที่ชำนาญโดยเฉพาะ

 

เราทุกคนสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดหลังได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่อหลัง เช่น ยกของหนัก แบกของหนัก และควรหมั่นออกกำลังกายเพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับรูปร่างของเรา เพราะแม้ว่าปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์จะก้าวหน้าไปไกลแล้วก็ตาม แต่ถ้าเราดูแลตัวเองได้ดี รักษาร่างกายให้พร้อมใช้ชีวิตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แบบนั้นก็ย่อมดีกว่าแน่นอน


แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ




บทความแนะนำ

โรคสมองและระบบประสาท รู้(ชัด)ได้..ด้วยการตรวจวินิจฉัย

พญาไท 2

สิ่งสำคัญในการวินิจฉัยโรคสมองและระบบประสาทคือ “การซักถาม” เนื่องจากโรคเหล่านี้มีความซับซ้อนมาก บางครั้งคนไข้มีอาการใกล้เคียงกัน การซักประวัติและอาการจะนำไปสู่การตรวจหาสาเหตุและพบโรคที่เป็นได้ง่ายขึ้น

ผ่าตัดสมอง...ผ่านกล้อง เทคนิคที่ปลอดภัยและฟื้นตัวไวกว่าการผ่าตัดแบบเดิม

พญาไท 2

เมื่อพูดถึงการผ่าตัดสมอง คนไข้จะกังวลเรื่องภาวะแทรกซ้อนระหว่างผ่าตัด และผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดสมองผ่านกล้อง...ช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้

อาการขี้ลืมแบบไหน...เข้าข่าย “ภาวะสมองเสื่อม”

พญาไท 2

ภาวะสมองเสื่อม เป็นภาวะที่จำนวนเซลล์สมองที่ทำงานได้ยิ่งลดลงอย่างรวดเร็ว อันเกิดจากการฝ่อเหี่ยวล้ำหน้าไปอีก ภาวะสมองเสื่อมที่พบบ่อยได้แก่ โรคอัลไซเมอร์

5 ท่าบริหารคอให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกคอเสื่อม

พญาไท 2

อาการปวดคอที่ลามไปถึงแขนและมือ มีอาการชาและอ่อนแรงจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อาจเกิดจากโรคกระดูกคอเสื่อม ซึ่งป้องกันและลดอาการได้ด้วยท่าบริหารเหล่านี้