มะเร็งเต้านม เป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยอันดับ 1 และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตต้นๆ ในหญิงไทย ซึ่งปัจจุบันอัตราการพบมะเร็งเต้านมมากขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 1 ใน 10 ของผู้หญิง มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านม ดังนั้นจึงมีการตื่นตัวในการตรวจหา และรักษาปัญหาก้อนที่เต้านมเพื่อให้ได้การวินิจฉัยมะเร็งของเต้านมในระยะแรก และรีบรักษาก่อนที่จะมีการแพร่กระจายของโรคออกไป
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม
- ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป (พบได้ทุกช่วงวัยแต่ยิ่งอายุมากยิ่งเสี่ยง)
- คนในครอบครัวที่มีประวัติป่วยเป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งรังไข่
- ผู้ป่วยที่เคยเข้ารับการรักษามะเร็งเต้านม หรือเนื้องอกเต้านมบางชนิด
- ผู้หญิงที่ไม่มีลูก หรือมีเมื่ออายุเลย 30 ปี
- พบการกลายพันธุ์ของยีนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- ผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมแน่นกว่าปกติ
- ผู้ที่มีประจำเดือนมาตั้งแต่อายุก่อน 12 ปี หรือ ประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปี
- ผู้ที่รับประทานฮอร์โมนเพศหญิง หรือรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน
สัญญาณเตือนที่ควรรีบพบแพทย์
- คลำเจอก้อนที่เต้านมหรือรักแร้
- รูปร่างของเต้านมเปลี่ยนแปลงไป มีรอยบุ๋มหรือแผล
- ผิวหนังเต้านมบาง หรือหนาผิดปกติ
- หัวนมแดง มีเลือด น้ำหนองไหลออกมา
- เจ็บบริเวณเต้านม
มะเร็งเต้านม แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1 : ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กกว่า 2 ซม. และยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้
- ระยะที่ 2 : ก้อนมะเร็งมีขนาดระหว่าง 2 – 5 ซม. และมีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกัน
- ระยะที่ 3 : ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 ซม. แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกันอย่างมาก จนทำให้ต่อมน้ำเหลืองเหล่านั้นมารวมติดกันเป็นก้อนใหญ่หรือติดแน่นกับอวัยวะข้างเคียง
- ระยะที่ 4 : ก้อนมะเร็งมีขนาดโตเท่าไหร่ก็ได้ แต่พบว่ามีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายที่อยู่ไกลออกไป เช่น กระดูก ปอด ตับ หรือสมอง เป็นต้น
*มะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก คือ ระยะที่ 1 และ 2 หรือในระยะที่ 3 บางรายมีพยากรณ์โรคที่ดี คือมีอัตราอยู่รอดเกินห้าปีหลังจากการวินิจฉัยประมาณ 80-90%
วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรก มีอะไรบ้าง?
- การตรวจเต้านมด้วยตนเอง ควรตรวจเป็นประจำเดือนละครั้ง เพื่อที่จะได้คุ้นเคยกับภาวะปกติของเต้านม จะช่วยให้สังเกตความเปลี่ยนแปลงในแต่ละเดือนได้ง่ายขึ้น โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการตรวจเต้านมด้วยตนเองคือ 7 วัน หลังจากเริ่มมีประจำเดือน เพราะเต้านมจะมีความตึง หรือบวมจากภาวะปกติน้อยสุด ส่วนหญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว ควรจะเลือกวันใดวันหนึ่ง เช่น วันแรกของเดือน เพื่อความสะดวก และเตือนตนเองในการตรวจเป็นประจำทุกเดือน
- การตรวจโดยแพทย์เฉพาะทาง เป็นการตรวจมะเร็งระยะเริ่มแรก โดยแพทย์จะคลำบริเวณเต้านม และบริเวณใต้วงแขน เพื่อตรวจหาว่ามีก้อนผิดปกติหรือไม่ นอกจากนั้นยังตรวจจากลักษณะต่างๆ ด้วย เช่น รอบบุ๋ม ตุ่ม หรือไตที่แข็งผิดปกติ การดึงรั้งที่ผิดปกติของหัวนม หรือการมีของเหลว เช่น น้ำเหลือง หรือ น้ำเลือดออกมาจากหัวนม
- การตรวจเต้านม (Mammogram) เป็นวิธีเอกซเรย์เต้านม เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถแสดงรายละเอียดของสิ่งผิดปกติต่างๆ รวมถึงเนื้องอกที่มีขนาดเล็กมากๆ เกินกว่าที่จะพบได้จากการคลำโดยเฉพาะเต้านมผู้สูงอายุ
วิธีการรักษามะเร็งเต้านมที่ได้ผลดีและเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันมีอยู่ 5 วิธี คือ
- การรักษามะเร็งเต้านม โดยการผ่าตัดมีอยู่ 2 วิธี
- การผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด เป็นการผ่าตัดเอาเต้านมข้างที่มีเนื้องอกออกทั้งหมดร่วมกับต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ออกไปด้วยในคราวเดียวกัน หากไม่มีการแพร่กระจายก็จะตัดเฉพาะเนื้อเยื่อเต้านมออกเพียงอย่างเดียว
- การผ่าตัดแบบสงวนเต้า หรือจะเรียกว่าการผ่าตัดแบบเก็บรักษาเต้านมไว้ โดยแพทย์จะผ่าตัดเอาเฉพาะส่วนที่เป็นก้อนเนื้อร้ายออกเท่านั้น แต่ยังคงเหลือเต้านมส่วนที่ดีเอาไว้
- การรักษามะเร็งเต้านม โดยการฉายแสง(รังสีรักษา)
- การรักษามะเร็งเต้านม โดยยาต้านฮอร์โมน
- การรักษามะเร็งเต้านม โดยยาเคมีบำบัด
- การรักษามะเร็งเต้านม โดยยาที่มีการออกฤทธิ์จำเพาะ
มะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรกรักษาโดยการผ่าตัดเป็นอันดับแรก และส่วนมากต้องการการรักษาวิธีอื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อเสริมให้ผลการรักษาดีขึ้น เช่น ผ่าตัดก่อน หลังจากแผลหายจึงให้ยาเคมีบำบัด ต่อจากนั้นรักษาโดยการฉายแสงร่วมกับการให้ยาต้านฮอร์โมน ทั้งนี้ขึ้นกับระยะของโรค คุณสมบัติของมะเร็งรวมถึงวิธีการผ่าตัด เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละรายมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ทำให้การรักษาย่อมมีความแตกต่างกันตามไป
นพ. ศุภชาติ ชมภูนุช
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีบำบัด
ศูนย์มะเร็ง โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์