ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า รอยช้ำเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
รอยช้ำเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับแรงกระแทกตั้งแต่เบา ปานกลาง จนถึงขั้นรุนแรงทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังแตก และมีการรั่วของเลือดออกมาบริเวณรอบๆ ทำให้ผิวบริเวณที่ถูกกระแทกเปลี่ยนสีไป ซึ่งในช่วงแรกๆ จะเป็นสีม่วง แล้วเปลี่ยนเป็นสีเทา หรือเขียว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในที่สุด โดยการเปลี่ยนสีนั้นจะสัมพันธ์กับการหายของรอยช้ำ ซึ่งจะใช้เวลาในการหาย 7-10 วัน
รอยช้ำแบบไหน ? อันตราย ต้องระวัง!
หากมากกว่า 10 วัน หรือราว 2 สัปดาห์แล้วรอยฟกช้ำ ยังไม่มีท่าทีว่าจะหาย แล้วเริ่มเกิดอาการมีไข้ เจ็บบริเวณรอยช้ำเพิ่มมากขึ้น รอยช้ำขยายวงกว้างมากขึ้น หรือมีรอยช้ำเกิดขึ้นบนร่างกาย แม้ว่าจะไม่ได้มีการกระแทกบริเวณดังกล่าว รอยช้ำเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคภัยที่ซ่อนอยู่ ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด และทำการรักษาอย่างตรงจุด
ดูแลรอยช้ำอย่างมืออาชีพ
- ประคบน้ำแข็งในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
รอยช้ำจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับแรงกระแทกจนทำให้หลอดเลือดแตก ส่งผลให้เลือดไหลไปใกล้ผิวหนัง ดังนั้นเมื่อพบว่ามีรอยช้ำให้รีบทำการประคบเย็นทันที ความเย็นจะช่วยรักษารอยช้ำได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังแข็งตัว ซึ่งวิธีการ ประคบเย็นที่ถูกต้อง จะต้องเอาน้ำแข็งใส่ถุงพลาสติกแล้วห่อผ้า ก่อนนำมาประคบ ไม่ควรใช้น้ำแข็งประคบที่ผิวหนังโดยตรง และต้องการประคบอย่างน้อย 20 นาที ให้ประคบต่อเนื่องแบบนี้ 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีรอยช้ำเขียว
- ประคบร้อนหลังจากเวลาผ่านไป 48 ชั่วโมง
เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปยังบริเวณที่ช้ำมากขึ้น ทำให้รอยช้ำหายเร็วขึ้น วิธีการคือ นำผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น แล้วนำมาประคบที่รอยช้ำครั้งละ 10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง
- พักรอยช้ำไว้บนที่สูง
พักรอยช้ำไว้ให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใน 24 ชั่วโมงแรก วิธีนี้สำคัญมาก หากคุณมีรอยช้ำ พยายามพัก อย่าใช้แรงร่างกายส่วนที่มีรอยช้ำให้มากนัก
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
การกินอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุจะช่วยป้องกันการเกิดรอยช้ำและช่วยให้ระยะเวลาการฟื้นหายเร็วขึ้น ซึ่งอาหารกลุ่มนี้ได้แก่ ไข่ นม ผลไม้วิตามินซีสูง และผักสีเขียวเข้ม
รอยช้ำมักไม่ใช้เรื่องที่น่ากังวลจนต้องปรึกษาแพทย์ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีรอยช้ำที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บและไม่จางหายภายใน 2 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาอย่างตรงจุด