โรคนิ่วในถุงน้ำดีเคยพบได้มากในผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มพบได้มากขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อยๆ โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ปัจจัยสำคัญของโรคนี้เกิดจาก “ความอ้วน” และพฤติกรรมการกิน ที่ส่งผลให้ระดับไขมันและคอเรสเตอรอลสูงเกินกว่าการทำงานของระบบน้ำดี คอเรสเตอรอลจึงสะสมจนกลายเป็นก้อนนิ่วในถุงน้ำดีขึ้นได้
ความเสี่ยงโรคนิ่วในถุงน้ำดีที่มาพร้อมกับ “ไขมันและความอ้วน”
- คนอ้วน ถุงน้ำดีสลายไขมันไม่ทัน การบีบตัวของถุงน้ำดีลดลง อาจเกิดนิ่วชนิดคอเรสเตอรอลในถุงน้ำดีได้
- อายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญพัง ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีมากขึ้นได้
- การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ระบบเผาผลาญพัง ทำให้ร่างกายละลายไขมันมากเกินไป
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
ไขมันส่วนเกิน ความเสี่ยง “โรคนิ่วในถุงน้ำดี” มาเร็วกว่าที่คิด
ไขมันส่วนเกินเป็นตัวการกระตุ้นให้เกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้เร็วขึ้น สาเหตุจากพฤติกรรมการกินที่เมื่อร่างกายได้รับไขมันเข้าไปในปริมาณที่สูง ขณะที่ตับที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำดีออกมาสลายไขมันได้ไม่เพียงพอ ทำให้ไขมันส่วนหนึ่งที่ย่อยสลายไม่ทันนั้นต้องตกตะกอนอยู่ภายในถุงน้ำดี จนจับตัวเป็นก้อนนิ่วตามมา รวมถึงภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกินมาตรฐาน ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดี เพราะมีระดับคอเรสเตอรอลสูง
ลดน้ำหนักถูกวิธี กู้ระบบเผาผลาญให้ถูกวิธี ลดเสี่ยงนิ่วในถุงน้ำดี
การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี นอกจากจะช่วยปรับรักษาระบบเผาผลาญแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการอดมื้อกินมื้อ การเลือกทานแต่ผักและผลไม้ รวมไปถึงการงดคาร์โบไฮเดรตและไขมัน เพื่อป้องกันระบบเผาผลาญพัง!
นั่นเป็นเพราะว่า เมื่อเราทานอาหารปริมาณน้อยๆ หรือทานแต่ผัก ระบบย่อยอาหารของเราจะเคยชินกับการย่อยอาหารกลุ่มนี้ในปริมาณเท่านี้ และร่างกายก็จะปรับให้ระบบการเผาผลาญทำงานน้อยลง แต่เมื่อไหร่ที่เรากลับมาทานอาหารกลุ่มพวกคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เพิ่มปริมาณของอาหารหรือหันมาทานอาหารมื้อเย็น น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะระบบเผาผลาญไม่ตอบสนอง และผู้ที่เกิดโยโย่เอฟเฟ็กต์จึงมักจะกลับมาลดน้ำหนักได้ยากขึ้นนั่นเอง
แนะนำปรับการกินให้เป็น! เพื่อการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง
- ควบคุมแคลอรีที่ทานในแต่ละวัน โดยให้ค่อยๆ ลดลงจากเดิมไม่เกิน 500 แคลอรี เมื่อลดน้ำหนักได้สักระยะหนึ่งแล้วจึงค่อยลดจำนวนแคลอรีลงอีกเล็กน้อย อย่าเร่งลดจำนวนแคลอรีมากเกินไป เพราะเมื่อร่างกายเคยได้รับแคลอรีต่อวันมาก แล้วจู่ๆ ปริมาณแคลอรีลดลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะเกิดการกักตุนไขมันไว้ใช้ ซึ่งเป็นกลไกที่ร่างกายต้องการสะสมพลังงานไว้ใช้ในช่วงเวลาที่ได้รับพลังงานน้อยเกินไปมากๆ นั่นเอง
- ให้ความสำคัญกับการทานโปรตีน เพราะโปรตีนนั้นมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบเผาผลาญ ร่างกายจึงจำเป็นต้องได้รับโปรตีน เพียงแต่!! ต้องเลือกเป็นโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น อกไก่ เต้าหู้ ถั่ว หรืออาหารทะเล โดยทานในปริมาณที่เหมาะสม คือ ผู้หญิงควรได้รับโปรตีน 46 กรัมต่อวัน และผู้ชาย 56 กรัมต่อวัน
- เลี่ยงการทานอาหารคาร์โบไฮเดรตประเภทขัดสี เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว หรือเค้ก เพราะคาร์โบไฮเดรตที่ถูกย่อยเป็นโมเลกุลเล็กๆ กลายเป็นน้ำตาล หรือที่เราเรียกกันว่า “กลูโคส” จะมีส่วนที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานตามอวัยวะส่วนต่างๆ และบางส่วนถูกเก็บเอาไว้ในตับและกล้ามเนื้อ ก่อนที่ตับจะเปลี่ยนน้ำตาลนั้นให้เป็นไขมันเพื่อเก็บไว้เป็นพลังงานสำรอง ซึ่งหากเราไม่ได้ใช้… ก็จะเกิดเป็นไขมันสะสมและทำให้อ้วนได้นั่นเอง
- ทานอาหารเช้าอย่าให้ขาด! เพราะการทานอาหารเช้าจะช่วยให้อัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวัน แต่ทั้งนี้ควรเลือกทานอาหารเช้าที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อุดมไปด้วยโปรตีนสูง แต่ไขมันต่ำ
ไม่ใช่แค่การเลือกทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม แต่การออกกำลังกายก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาไขมันส่วนเกินได้ ที่สำคัญ! การลดน้ำหนัก ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงนิ่วในถุงน้ำดี แต่ยังลดโอกาสเสี่ยงโรคอีกมากมายด้วย