เป็นที่ยอมรับกันว่า การเกิดโรคมะเร็งนั้นประกอบด้วยหลายปัจจัยเสี่ยงและหลายตัวกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิต การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ หรือสภาพแวดล้อมที่อาศัย ทั้งมลพิษทางอากาศ แสงแดด ไปจนถึงสารเคมีที่ปนเปื้อนมาในอาหาร
แต่ที่สำคัญไม่แพ้กัน คือความเสี่ยงด้านพันธุกรรม แม้จะไม่ใช่ทุกรายที่จะต้องเป็นมะเร็งหากมีพ่อแม่พี่น้องสายตรงเป็นมะเร็ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น การรับการตรวจคัดกรองเพื่อการป้องกัน สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจึงนับว่ามีความจำเป็นไม่น้อย
Precision Cancer Medicine ทางเลือกใหม่ในการรักษามะเร็ง
ปัจจุบัน เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าคนไข้เป็นมะเร็ง จะมีการรักษาหลายวิธีขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เป็น ระยะหรือความรุนแรงของโรค รวมถึงบริบทของคนไข้อีกหลายด้าน การรักษาอาจทำได้ด้วยวิธีฉายแสง ให้เคมีบำบัด และการผ่าตัด ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ทั้งยังทำให้เกิดผลข้างเคียงกับคนไข้ค่อนข้างมาก เพราะทุกวิธีจะเป็นการรักษาที่มุ่งทำเซลล์มะเร็งแต่ทำให้เซลล์ปกติต้องถูกทำลายหรือสูญเสียไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ วงการแพทย์ทั่วโลกจึงพยายามค้นหาวิธีการรักษาใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งในปัจจุบันแนวทางการรักษาใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมและพบว่ามีประสิทธิภาพสูง นั่นคือการรักษาแบบ “Precision Cancer Medicine”
แนวคิดของ Precision Cancer Medicine ในการรักษามะเร็ง
Precision Cancer Medicine คือการตรวจหาความผิดปกติระดับพันธุกรรม เพื่อวินิจฉัยให้ลึกถึงการกลายพันธุ์ของเซลล์ โดยแพทย์จะทำการตรวจชิ้นเนื้อปัจจุบันของผู้ป่วย ก่อนจะนำมาวิเคราะห์หาความผิดปกติในพันธุกรรม เพื่อเลือกยารักษาที่เหมาะสมและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง รวมถึงการกำหนดวิธีการรักษาแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่าการรักษาแบบเดิมที่มักใช้ยาและวิธีเดียวกันกับมะเร็งแต่ละชนิดในระยะเดียวกันในผู้ป่วยทุกราย
ข้อดีของการตรวจด้วยวิธีการนี้ คือแทบไม่มีข้อจำกัดใดๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุ ทุกกลุ่มสุขภาพ รวมถึงผู้ที่เคยรักษามะเร็งด้วยวิธีอื่นมาก่อนก็สามารถตรวจได้
วิเคราะห์ยีนกลายพันธุ์ด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การวิเคราะห์และแปลผลการกลายพันธุ์ของยีนจะต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เพราะจะต้องวินิจฉัยขั้นลึกผ่านการอ่านค่าความผิดปกติอื่นๆ ของคนไข้ร่วมด้วย รวมถึงวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของยีน ความผิดปกติระหว่างคู่ยีน (การสลับคู่ยีน) ความสามารถในการแบ่งเซลล์ และระยะการกลายพันธุ์ของยีน ต่อเมื่อแพทย์ได้ผลวิเคราะห์แล้วว่ามีการกลายพันธุ์ของยีนจริง ขั้นตอนของการให้ยารักษาแบบพุ่งเป้า (Targeted Therapy) เฉพาะบุคคลจึงเริ่มขึ้น
แพทย์จะเลือกใช้ยาที่เหมาะสม เพื่อการรักษาและลดอัตราผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น โดยที่ผู้ป่วยจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกวิธีรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างใกล้ชิด ขั้นตอนนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะการวิเคราะห์ผลที่มีประสิทธิภาพและการเลือกยาที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสหายจากโรคได้มากขึ้นนั่นเอง
กรรมพันธุ์มะเร็ง เมื่อรู้ก็ลดเสี่ยงได้ด้วยการป้องกันเหตุร่วม
เพราะกรรมพันธุ์หรือยีนที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นนั่นเป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ และยังเป็นตัวกำหนดตัวตนของมนุษย์แต่ละคนจากพ่อและแม่ ซึ่งร่างกายที่ได้มาก็จะรวมถึงโรคทางพันธุกรรมอย่างโรคมะเร็งด้วยเช่นกัน
แม้ยีนมะเร็งจะถูกถ่ายทอดทางทางพันธุกรรม แต่ใช่ว่าจะลดเสี่ยงการเป็นมะเร็งไม่ได้ เพราะในทางการแพทย์นั้นมีการวิเคราะห์ไว้ว่า กรรมพันธุ์หรือยีนมีผลต่อการเกิดมะเร็งอยู่ราว 10-20% เท่านั้น ที่เหลือล้วนเกิดจากการกระตุ้นจากสิ่งภายนอกและพฤติกรรม จนทำให้การกลายพันธุ์นั้นเกิดเป็นมะเร็งอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ การตรวจสุขภาพ และการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
- การตรวจพันธุกรรม (Gene Therapy)
ผู้ที่มีประวัติสมาชิกสายตรงในครอบครัวเป็นมะเร็ง การตรวจพันธุกรรมก็เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของยีน เพื่อหาวิธีป้องกันโรคโดยเข้มงวดกับการลดความเสี่ยงต่างๆ จากปัจจัยภายนอกและพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเลือกประเภทอาหาร การงดทานเนื้อแดง งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ ทั้งนี้แพทย์จะแนะนำรายละเอียดและคอยติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อคนไข้ต้องการ
- หลีกเลี่ยงการรับสารก่อมะเร็ง (Carcinogen)
เพราะสารก่อมะเร็งที่สำคัญๆ นั้นมาจากการเผาไหม้และจากบุหรี่ รวมถึงอาหารทอดและไขมันทรานส์ ดังนั้นเมื่อรู้ว่ามีความเสี่ยงจากพันธุกรรม การหลีกเลี่ยงให้มากขึ้นจึงมีความจำเป็น และยังสามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งชนิดที่เสี่ยงให้ถี่ขึ้นได้ เพราะการพบโรคเร็ว รักษาไว้ ย่อมมีโอกาสหายขาดได้มากกว่านั่นเอง