โรคตาแห้งเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่จะมีความชุกแตกต่างกันในแต่ละประเทศ จากการศึกษาของภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ทำการศึกษาในประชากรในประเทศไทย 625 ราย ช่วงอายุ 50-90 ปี พบความชุกของโรคตาแห้งมากถึงร้อยละ 14.21 โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และจะพบอุบัติการณ์สูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
ความรุนแรงและวิธีรักษาโรคตาแห้ง
โรคตาแห้งเป็นโรคที่มีความรุนแรงหลากหลาย การรักษาจึงมีตั้งแต่การปรับสิ่งแวดล้อม การใช้น้ำตาเทียม อย่างไรก็ตามหากโรคตาแห้งมีความรุนแรงมาก หรือคนไข้เป็นโรคผิวเยื่อตา (Ocular Surface Disease; OSD) น้ำตาซีรั่ม (Autologous Serum Eye Drops) นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แพทย์จะเลือกใช้ในการรักษา นอกเหนือจากการใช้น้ำตาเทียมที่มีจำหน่ายทั่วไป
ยาหยอดตาซีรั่มคืออะไร?
ยาหยอดตาซีรั่ม คือการนำเลือดของผู้ป่วยมาทำเป็นยาหยอดตา ซึ่งจะมีคุณสมบัติทางชีวภาพที่ใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด ทั้งยังมีสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ เช่น epidermal growth factor (EGF), nerve growth factor (NGF) และ transforming growth factor beta (TGF-ß) อีกด้วย
ดังนั้น นอกเหนือจากประสิทธิภาพในการรักษาตาแห้ง ตัวซีรั่มยังมีคุณสมบัติช่วยให้แผลที่กระจกตาหายเร็วขึ้น และลดการอักเสบในตา การนำเลือดของผู้ป่วยเองมาทำเป็นยาหยอดตาซีรั่มยังช่วยลดการเกิดภาวะต่อต้านภูมิแพ้ และปลอดภัยจากการติดเชื้อจากผู้อื่น เช่น โรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบ ซิฟิลิส เป็นต้น
ความแพร่หลายในการใช้ยาหยอดตาซีรั่ม
ทุกวันนี้ยาหยอดตาซีรั่ม หรือ Autologous Serum Eye Drops มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในโรงพยาบาลชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ โดยมีความแตกต่างกันในแง่ของความเข้มข้นและวิธีการเตรียม ในส่วนความเข้มข้นที่นิยมที่สุด คือ 20% Autologous Serum Eye Drops โดยพบว่า 20% Autologous Serum มีปริมาณสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ จึงรักษาโรคตาแห้งที่รุนแรงและโรคผิวเยื่อตาได้ดี
พญ.กิตติกมล วงศ์ไพศาลสิน
จักษุแพทย์ด้านกระจกตาและการแก้ไขสายตา
และหัวหน้าศูนย์จักษุ
คลินิกตา โรงพยาบาลพญาไท 3