Q: การทดแทนฟันที่สูญเสียฟันไป สามารถใส่ฟันเทียมชนิดติดแน่นแบบใดได้บ้าง?
A: การทดแทนฟันที่สูญเสียไปโดยใช้ฟันเทียมชนิดติดแน่น สามารถทำได้ 2 วิธี คือ การทำสะพานฟัน และ การทำรากฟันเทียม
สะพานฟัน (Dental bridges) คือ ฟันเทียมบางส่วนชนิดติดแน่น โดยการทดแทนฟัน 1-2 ซี่ด้วยการทำครอบฟันเชื่อมติดกัน โดยใช้ฟันธรรมชาติทั้งสองฝั่งที่ติดกับช่องว่างเป็นหลักยึด ซึ่งต้องมีการกรอเนื้อฟันหลักให้เล็กลงเพื่อเป็นหลักที่ใช้ยึดติดกับสะพานฟัน
ส่วนการทำรากฟันเทียม (Dental Implant) คือ การใช้สกรูที่ทำจากไทเทเนียม (Titanium) มีรูปร่างคล้ายรากฟัน ใช้ทำหน้าที่ทดแทนฟันที่สูญเสียไป โดยรากฟันเทียมจะถูกฝังลงไปในกระดูกในตำแหน่งที่ฟันสูญเสียไป ซึ่งเป็นวิธีการทดแทนฟันที่สูญเสียไปให้กลับมาใช้งานได้ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติที่สุด
Q: สะพานฟันมีข้อดีข้อเสียอย่างไร?
A: การทดแทนฟันที่สูญเสียไปโดยใช้ฟันเทียมชนิดติดแน่นด้วยการทำสะพานฟัน มีข้อดีข้อเสียดังต่อไปนี้
ข้อดี
- เป็นฟันเทียมชนิดติดแน่น ไม่ต้องถอดเข้าออก ทำให้การใช้งานใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ
- ไม่ต้องทำการผ่าตัด
- ใช้ระยะเวลาในการรักษาเพียง 1-2 สัปดาห์ ซึ่งน้อยกว่าการทำรากฟันเทียม
- ราคาถูกกว่าการทำรากฟันเทียม
ข้อเสีย
- ต้องทำการกรอเนื้อฟันธรรมชาติทั้งสองฝั่งที่ติดกับช่องว่าง ทำให้สูญเสียเนื้อฟันธรรมชาติค่อนข้างมาก หากถูกกรอเนื้อฟันมากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดการเสียวฟันหรือปวดฟันได้ในอนาคต
- การทำความสะอาดยากกว่าฟันธรรมชาติ เนื่องจากไม่สามารถใช้ไหมขัดฟันชนิดธรรมดาได้ ต้องใช้ไหมขัดฟันชนิดพิเศษเพื่อร้อยลงไปใต้สะพานฟัน
- อายุการใช้งานของสะพานฟันขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของฟันหลักยึด หากฟันหลักยึดผุหรือโยก จะต้องรื้อสะพานฟันเพื่อทำใหม่ทั้งชุด
Q: กรณีใดที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมกับการใส่สะพานฟัน?
A: กรณีที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมในการทำสะพานฟัน มีดังต่อไปนี้
กรณีที่เหมาะสมในการทำสะพานฟัน
- ต้องการทดแทนฟันที่สูญเสียไปชนิดติดแน่น โดยมีฟันธรรมชาติที่ติดกับช่องว่างทั้งสองฝั่ง
- ผู้ป่วยที่มีข้อห้ามในการผ่าตัด หรือมีความกลัวในการผ่าตัดเพื่อฝังรากฟันเทียม
- ในกรณีที่ฟันธรรมชาติที่ติดกับช่องว่างทั้งสองฝั่งเป็นฟันที่ถูกบูรณะด้วยวัสดุอุดฟันขนาดใหญ่ หรือ ได้รับการรักษาด้วยครอบฟันมาแล้ว เป็นกรณีที่เหมาะสมในการทำสะพานฟัน เนื่องจากเนื้อฟันธรรมชาติสูญเสียไปบางส่วนจากการอุดฟันหรือทำครอบฟันอยู่แล้วทำให้การกรอเนื้อฟันหลักยึดไม่สูญเสียเนื้อฟันเพิ่มเติมมากนัก
กรณีที่ไม่เหมาะสมในการทำสะพานฟัน
- ตำแหน่งฟันที่สูญเสียไป มีฟันธรรมชาติที่ติดกับช่องว่างแค่เพียงฝั่งเดียว
- ฟันหลักยึดที่ติดกับช่องว่างไม่แข็งแรง เช่น ฟันผุใหญ่ สูญเสียเนื้อฟันเยอะ หรือฟันโยก
- ไม่แนะนำให้ทดแทนช่องว่างฟันตั้งแต่ 3 ซี่ขึ้นไป เนื่องจากฟันหลักยึดจะรับน้ำหนักมากเกินไป อาจส่งผลให้สูญเสียฟันหลักได้
ทั้งนี้ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจประเมินช่องปากก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง
Q: การทำรากฟันเทียมมีขั้นตอนอย่างไร?
A: การทำรากฟันเทียมมีขั้นตอนหลักๆ ในการรักษาดังนี้
- พบทันตแพทย์เพื่อตรวจประเมินช่องปาก ทำการถ่ายภาพรังสี และทำ CT scan 3 มิติเพื่อวางแผนการรักษา ประเมินระยะเวลาในการรักษา และประเมินว่าต้องทำหัตถการอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่ เช่น ปลูกกระดูก ยกโพรงไซนัส
- ทันตแพทย์ทำการฝังรากฟันเทียมในช่องปากผู้ป่วย
- รอรากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกของผู้ป่วยประมาณ 3-4 เดือน
- ทันตแพทย์ทำการพิมพ์ปากบนรากฟันเทียม เพื่อนำไปทำครอบฟันบนรากฟันเทียม
- ระยะเวลาในการทำครอบฟันประมาณ 1-2 สัปดาห์
- ทันตแพทย์ใส่ครอบฟันบนรากฟันเทียมให้กับผู้ป่วย
โดยปกติการทำรากฟันเทียมอย่างเดียวโดยไม่มีการปลูกกระดูก จะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 3.5-4.5 เดือน
Q: กรณีใดที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมกับการใส่รากฟันเทียม?
A: กรณีที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมทำการทำรากฟันเทียม มีดังต่อไปนี้
กรณีที่เหมาะสมในการทำรากฟันเทียม
- ต้องการทดแทนฟันที่สูญเสียไปชนิดติดแน่น
- ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ โดยไม่มีข้อห้ามในการผ่าตัด และสามารถควบคุมความกลัวได้อย่างเหมาะสมในระหว่างการผ่าตัด
- มีกระดูกบริเวณที่จะฝังรากเทียมในปริมาณที่เหมาะสม โดยทันตแพทย์จะประเมินจากการถ่ายรังสีแบบปกติและแบบ 3 มิติ CT scan ก่อนการรักษา
กรณีที่ไม่เหมาะสมในการทำรากฟันเทียม
- ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการทำรากฟันเทียม เช่น
-
- โรคเบาหวานเรื้อรังที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled diabetes mellitus)
- โรคกระดูกพรุนชนิดรุนแรง (Osteoporosis)
- ได้รับยาในกลุ่ม Bisphosphonate เพื่อรักษาโรคกระดูกพรุนอยู่
- ได้รับการรักษามะเร็งโดยการใช้รังสีบำบัด (Radiotherapy)
- สูบบุหรี่จัด (มากกว่า 10 มวนต่อวัน)
- โรคประจำตัวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะอันตรายต่อชีวิต (Life threatening condition)
- ผู้ป่วยมีความกลัวการผ่าตัด
- ผู้ป่วยเด็กที่ยังมีการเจริญเติบโตของขากรรไกรและใบหน้าอยู่
ทั้งนี้ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจประเมินความเสี่ยงก่อนการรักษา บางกรณีอาจต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวร่วมด้วย
Q: ผู้ป่วยสูงอายุสามารถใส่รากฟันเทียมได้หรือไม่?
A: รากฟันเทียมถูกออกแบบมาให้ใช้ทดแทนฟันที่สูญเสียไปกับผู้สูงอายุอยู่แล้ว ดังนั้นอายุไม่มีผลต่อการใส่รากฟันเทียม ตราบใดร่างกายยังแข็งแรง และไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการทำรากฟันเทียม
Q: รากฟันเทียมใช้งานได้นานเท่าไหร่ ?
A: อายุการใช้งานของทั้งรากฟันเทียมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น รับประทานของแข็งหรือไม่ ทำความสะอาดได้ดีหรือไม่ เป็นโรคปริทันต์หรือไม่ นอนกัดฟันหรือไม่ พบทันตแพทย์เป็นประจำหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
โดยงานวิจัย R.Jung et al 2012 พบว่า การทำรากฟันเทียมจะอยู่ในช่องปากและใช้งานได้เฉลี่ยประมาณ 96% หลังจากการใช้งานไป 10 ปี บางการศึกษาพบว่ารากเทียมสามารถอยู่ในช่องปากและใช้งานได้ถึง 30 ปีเลยทีเดียว
ทั้งนี้หลังจากการทำรากเทียมควรกลับมาพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกๆ 6 เดือน – 1 ปี
Q: รากฟันเทียมมีข้อดีข้อเสียอย่างไร?
A: การทดแทนฟันที่สูญเสียไปโดยใช้ฟันเทียมชนิดติดแน่นด้วยการทำรากฟันเทียม มีข้อดีข้อเสียดังต่อไปนี้
ข้อดี
- การใช้งานใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติที่สุด เนื่องจากเป็นฟันเทียมชนิดติดแน่น ไม่ต้องถอดเข้าออก
- ไม่ต้องทำการกรอเนื้อฟันข้างเคียง ทำให้ไม่ต้องสูญเสียเนื้อฟันธรรมชาติ ลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงเช่น การเสียวฟัน ปวดฟัน หรือต้องรักษารากฟันในอนาคตได้
- ทำความสะอาดได้ด้วยไหมขัดฟันได้เสมือนฟันธรรมชาติ
ข้อเสีย
- ราคาสูงที่สุดในการทำฟันเทียมทั้งหมด
- ใช้ระยะเวลาในการรักษานาน ประมาณ 3 เดือนขึ้นไป เนื่องจาก รากเทียมต้องใช้ระยะเวลาในการยึดติดกับกระดูกให้แข็งแรงก่อนเริ่มทำครอบฟันบนรากเทียม
- มีการผ่าตัด หากมีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการทำการผ่าตัดรากเทียม หรือ กลัวการผ่าตัดก็ไม่สามารถทำได้
Q: ส่วนประกอบของรากฟันเทียมมีอะไรบ้าง?
A: รากฟันเทียมประกอบด้วย 4 ส่วน คือ
- ครอบฟัน (Implant crown) คือ ส่วนของครอบฟันที่สวมไปบนอะบัทเมนท์
- อะบัทเมนท์ (Implant abutment) คือ ส่วนประกอบที่เชื่อมระหว่างครอบฟันและรากเทียม
- สกรูยึดอะบัทเมนท์ (Abutment screw) คือ สกรูที่เป็นตัวยึดระหว่างรากเทียมกับอะบัทเมนท์เข้าด้วยกัน (อยู่ภายในอะบัทเม้นท์)
- รากฟันเทียม (Dental implant) คือไทเทเนียมสกรูที่ฝังลงไปในกระดูก
Q: ถอนฟันที่ปวดออกโดยไม่ต้องรักษารากฟัน แล้วใส่รากเทียมดีหรือไม่?
A: หากสามารถเก็บฟันธรรมชาติไว้ได้โดยที่มีเนื้อฟันที่เพียงพอในการบูรณะฟัน แนะนำให้พิจารณารักษาฟันธรรมชาติ ก่อนถอนฟันเพื่อทำรากเทียม ยกเว้นกรณีที่ฟันที่ปวดไม่สามารถบูรณะได้แล้ว
หากเกิดการปวดฟัน ผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อประเมินว่าฟันที่ปวดสามารถเก็บได้หรือไม่ หากสามารถเก็บฟันได้ ทันตแพทย์จะทำการรักษารากฟันเพื่อให้หายปวดฟัน หลังจากนั้น ทันตแพทย์จึงจะบูรณะฟัน เช่น ครอบฟัน หรือ onlay (สร้างวัสดุบูรณะฟัน) เพื่อให้กลับมาใช้งานได้เหมือนปกติ
Q: รากฟันเทียมทำจากวัสดุใด มีพิษต่อร่างกายหรือไม่?
A: รากฟันเทียมผลิตจากวัสดุไทเทเนียม (Titanium) มีสีเงิน มีความปลอดภัยและเข้ากันกับเนื้อเยื่อมนุษย์ได้ดี มีการใช้งานมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยรากเทียมซี่แรกถูกฝังในกระดูกขากรรไกรมนุษย์ตั้งแต่ปี คศ. 1965
ในปัจจุบันเริ่มมีการใช้งานรากเทียมที่ทำจากวัสดุเซอโคเนีย (Zirconia) ซึ่งมีเป็นสีขาว มีความเข้ากันดีกับเหงือก และมีความสวยงาม โดยมีการใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงมีสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับวัสดุไทเทเนียม
Q: ทำไมต้องทำ CT scan ก่อนการฝังรากฟันเทียม?
A: การทำ CT scan มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อดูปริมาณและคุณภาพความกระดูกบริเวณที่จะฝังรากเทียมใน 3 มิติ ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยวางแผนการรักษาในการทำรากเทียม เช่น จำนวนรากเทียมที่ต้องฝัง จำเป็นต้องปลูกกระดูกหรือไม่ ต้องยกโพรงไซนัสร่วมด้วยหรือไม่
อีกทั้งทันตแพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญที่ต้องระมัดระวัง ในตำแหน่งที่จะฝังรากเทียม เช่น เส้นประสาท หรือ โพรงไซนัส ทำให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วยมากขึ้น
Q: วัสดุครอบรากฟันเทียมทำจากอะไร?
A: วัสดุที่ใช้ทำครอบรากฟันเทียมมีหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน ความสวยงามและความต้องการของผู้ป่วย วัสดุที่ใช้อาจมีทั้งชนิดโลหะล้วน โลหะบางส่วน หรือ เป็นเซรามิคล้วนเพื่อความสวยงาม ทั้งนี้ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนการเลือกชนิดเพื่อประเมินและเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม
Q: รากเทียมมีหลายยี่ห้อในท้องตลาด ควรเลือกอย่างไร?
A: ปัจจุบันรากเทียมมีหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในแง่ของประเทศผู้ผลิต เช่น สวิตเซอร์แลนด์ อเมริกา สวีเดน เกาหลี เป็นต้น ทั้งนี้ควรคำนึงถึง การรับประกันสินค้า ราคา รวมถึงรูปร่างในแต่ละผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมารองรับการใช้งานที่แตกต่างกัน คือควรเลือกรากเทียมที่มีการรับประกัน มีความน่าเชื่อถือ และมีคุณภาพที่ดี โดยสามารถปรึกษาทันตแพทย์ก่อนการรักษา
Q: หากสูญเสียฟันไปหลายซี่ จำเป็นต้องทำรากเทียมทุกซี่หรือไม่?
A: ไม่จำเป็นต้องทำรากฟันเทียมทดแทนฟันทุกซี่ เราสามารถทำรากเทียมน้อยกว่าจำนวนฟันซี่ที่สูญเสียไปได้ แล้วทำสะพานฟันบนรากเทียมอีกที เช่น กรณีสูญเสียฟัน 3 ซี่ติดกัน สามารถทำรากเทียม 2 ซี่ แล้วทำเป็นสะพานฟันบนรากเทียม 3 ซี่ได้ แต่ต้องดูลักษณะของปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปริมาณกระดูก การสบฟัน ความสวยงาม การทำความสะอาด เป็นต้น
ถึงแม้ว่าการทำสะพานฟันบนรากเทียมจะทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง แต่ต้องคำนึงถึงการทำความสะอาดที่ยากขึ้นบริเวณซอกฟันใต้สะพานฟันด้วย
Q: จะเกิดอะไรขึ้นหากถอนฟันไปนานๆ แล้วไม่ได้ใส่ฟันเทียม?
A: หากไม่ได้ใส่ฟันเป็นเวลานาน จะทำให้ฟันข้างเคียงล้มเข้าหาช่องว่าง ฟันคู่สบยื่นเข้าหาช่องว่าง ทำให้ช่องว่างที่ถูกถอนฟันแคบลง ส่งผลให้การใส่ฟันทำได้ยากขึ้น อีกทั้งเมื่อฟันล้ม ซอกฟันบริเวณฟันข้างเคียงจะมีเศษอาหารติดง่าย อาจลุกลามทำให้เกิดฟันผุของซอกฟันข้างเคียงได้
ในแง่ของกระดูก หากไม่ได้ใส่รากเทียมบริเวณที่ถูกถอนไปนานๆ จะส่งผลให้กระดูกละลายตัวบางลง ส่งผลให้การฝังรากเทียมอาจจะต้องมีการปลูกกระดูกร่วมด้วย
Q: การทำรากฟันเทียมเจ็บหรือไม่?
A: ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้รากเทียมที่ใช้มีขนาดเล็กลงมากเมื่อเทียบกับในอดีต (ยาวประมาณ 1 เซ็นติเมตร) ทำให้ความชอกช้ำและขนาดแผลผ่าตัดเล็กลง อีกทั้งยาชาที่มีประสิทธิภาพทำให้ควบคุมการเจ็บปวดระหว่างการผ่าตัดได้ดีมาก ผู้ป่วยจะแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในช่วงระหว่างการรักษาเลย
ส่วนความเจ็บปวดหลังจากการรักษา อาจมีบ้างเล็กน้อย แต่ทันตแพทย์จะให้ยาแก้ปวดที่มีประสิทธิภาพเพื่อระงับอาการปวด ผู้ป่วยบางรายไม่ต้องรับประทานยาแก้ปวด หรือทานแค่ 1 เม็ดเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นกับความซับซ้อนของการรักษา เช่น มีการปลูกกระดูกร่วมด้วยหรือไม่
Q: การปลูกกระดูกคืออะไร จำเป็นหรือไม่ กระดูกที่ใช้นำมาจากที่ใด?
A: การปลูกกระดูกไม่จำเป็นในกรณีที่มีปริมาณกระดูกตั้งต้นเพียงพอ แต่ถ้าหากสูญเสียฟันแล้วไม่ได้ใส่รากเทียมเป็นระยะเวลานานๆ กระดูกจะมีการละลายตัว ทำให้ปริมาณกระดูกไม่เพียงพอต่อการยึดเกาะกับรากเทียม จึงต้องมีการปลูกกระดูกร่วมด้วย ซึ่งการปลูกกระดูกสามารถทำได้ 2 กรณี คือ ปลูกกระดูกก่อนการฝังรากเทียม และปลูกกระดูกพร้อมฝังรากเทียม เมื่อมีการปลูกกระดูกร่วมด้วย ระยะเวลาในการรักษาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 6 เดือน เนื่องจากต้องรอให้กระดูกเทียมยึดกับกระดูกของผู้ป่วยด้วย
กระดูกสามารถนำมาจากในช่องปากของคนไข้เอง หรือเป็นกระดูกเทียมจากสัตว์หรือสังเคราะห์ขึ้นมา ซึ่งกระดูกเทียมดังกล่าวจะผ่านการฆ่าเชื้อและบดละเอียด มีลักษณะคล้ายทรายสีขาว มีความปลอดภัยและเป็นวัสดุที่ใช้ในการปลูกกระดูกโดยเฉพาะ
Q: หลังจากทำรากฟันเทียมต้องดูแลรักษาอย่างไร?
A: พยายามเคี้ยวอาหารทั้งสองฝั่ง ควรระมัดระวังการเคี้ยวของแข็งมากๆ เช่น น้ำแข็ง ถั่ว หมูกรอบ หลีกเลี่ยงการใช้งานที่ผิดประเภท เช่น แทะกระดองปู
การดูแลรักษารากฟันเทียมทำได้โดยการใช้ไหมขัดฟันบริเวณซอกฟัน แปรงซอกฟันขนาดเล็ก หรือแม้กระทั่งเครื่องฉีดน้ำทำความสะอาดซอกฟัน ขึ้นกับความถนัด พยายามอย่าให้มีเศษอาหารติดซอกฟันบ่อยๆ เพราะมีโอกาสทำให้กระดูกรอบๆ รากเทียมละลายได้
ควรพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกๆ 6 เดือน – 1 ปี เพื่อตรวจสภาพรากเทียมอยู่เสมอ
ทพ. พงศ์รพี กมลรุ่งวรากุล
ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมประดิษฐ์
ศูนย์ทันตกรรม โรงพยาบาลพญาไท 2