หลายคนคงเคยมีอาการปวดท้องแบบเป็นๆ หายๆ หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด และด้วยคิดว่าคงเป็นแค่อาการของโรคกระเพาะธรรมดาๆ จึงไม่ได้กังวลมากนัก กินยาไปสักพักก็น่าจะดีขึ้นได้… แต่บางรายที่เป็นมานาน กินยาโรคกระเพาะแล้วไม่ดีขึ้น แบบนี้อย่านิ่งนอนใจ! เพราะอาการเหล่านั้นอาจมาจากการได้รับเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า “เอชไพโลไร” (H. Pylori) หากไม่รีบรักษา อาจลุกลามจนเลยคำว่า แค่โรคกระเพาะอาหาร!!! ก็เป็นได้
เชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) คืออะไร?
เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือเรียกสั้นๆ ว่า เอชไพโลไร (H. Pylori) เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ที่เยื่อบุกระเพาะอาหาร แต่ไม่ก่ออันตราย เว้นแต่บางกรณีที่อาจมีการติดเชื้อแบบเฉียบพลันหรือในปริมาณมาก อาจส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในที่สุด
ติดเชื้อเอชไพโลไร…มีอาการแบบไหน???
การติดเชื้อเอชไพโลไร ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการใดๆ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการระคายเคืองหรือการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร จนทำให้มีอาการต่างๆ ดังนี้
- ปวดท้องเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ปวดหรือแสบร้อนที่ท้องส่วนบนบริเวณเหนือสะดือ และจะยิ่งปวดรุนแรงเมื่อท้องว่าง หรือหลังรับประทานอาหาร
- ท้องอืด เรอบ่อย
- คลื่นไส้
- อาเจียนเป็นเลือด หรืออาเจียนมีสีน้ำตาลคล้ำ
- อุจจาระเป็นเลือด ลักษณะของอุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย มีกลิ่นเหม็นรุนแรง
หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจ วินิจฉัยอย่างละเอียด และรีบรักษาก่อนอาการลุกลามรุนแรง
ติดเชื้อเอชไพโลไร…จากไหนได้บ้าง?
การติดเชื้อเอชไพโลไร นั้นยังระบุแน่ชัดไม่ได้ แต่เชื้อนี้สามารถการถ่ายทอดจากคนสู่คน จึงมีข้อสันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการสัมผัสเชื้อและนำเข้าปากโดยไม่รู้ตัว รวมถึงการบริโภคอาหารและน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อ และจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นหากอยู่ใกล้ชิดหรืออยู่ร่วมบ้านกับผู้ที่มีเชื้อเอชไพโลไร หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีสุขลักษณะไม่ดี
ตรวจให้มั่นใจ..ว่าใช่ “เอชไพโลไร” หรือไม่???
เมื่ออาการหลายๆ อย่างที่เป็นยังระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าเกิดจากการติดเชื้อเอชไพโลไรหรือไม่ ดังนั้น ผู้ที่มีอาการน่าสงสัย ควรได้รับการตรวจอย่างละเอียด เพื่อผลการวินิจฉัยที่แม่นยำและทำการรักษาอย่างตรงจุด ซึ่งทำได้โดย
- การตรวจเลือด เป็นการตรวจหาสารภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อ
- การตรวจลมหายใจด้วยวิธี Urea Breath Test การทดสอบยูเรีย โดยให้ผู้ป่วยดื่มสารยูเรียที่มีกัมมันตภาพรังสี จากนั้นจึงเป่าลมใส่ถุงเพื่อเก็บลมหายใจไปตรวจปริมาณแอมโมเนียที่เพิ่มขึ้น โดยเทียบกับคนปกติ เนื่องจากเชื้อเอชไพโลไร สามารถเปลี่ยนยูเรียให้เป็นแอมโมเนียได้ หากพบว่ามีปริมาณแอมโมเนียเพิ่มขึ้นมาก แสดงว่ามีเชื้อเอชไพโลไรในระบบทางเดินอาหาร
- การตรวจอุจจาระ เป็นการเก็บตัวอย่างอุจจาระเพื่อตรวจหาสารภูมิต้านทานหรือแอนติเจน ซึ่งบ่งบอกถึงการติดเชื้อ
- การส่องกล้อง แพทย์จะสอดอุปกรณ์ที่มีกล้องขนาดเล็กติดอยู่บริเวณส่วนปลายเข้าไปทางปากเพื่อตรวจดูความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ในบางกรณีอาจมีการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อในช่องท้องเพื่อนำมาตรวจหาเชื้อร่วมด้วย
ติดเชื้อเอชไพโลไร…รักษาได้
เมื่อมีการติดเชื้อเอชไพโลไร สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการใช้ยาปฏิชีวนะ
- แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะสูตรเฉพาะ โดยต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง 1-2 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมของยาและผู้ป่วยแต่ละราย
- ผู้ป่วยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยรับประทานอาหารให้ตรงเวลา หรือแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 5-6 มื้อ เพื่อไม่ให้ท้องว่างติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้ด้วย
ในระหว่างการรักษา ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน ยาที่มีส่วนประกอบของแอสไพริน และยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ เพราะอาจยิ่งทำให้เกิดการระคายเคืองและเสี่ยงมีเลือดออกในกระเพาะอาหารได้
หลังการรักษา แพทย์จะให้ผู้ป่วยกลับมาตรวจหาเชื้อซ้ำภายในเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์เพื่อติดตามผลการรักษา หากพบว่ายังมีการติดเชื้ออยู่ ผู้ป่วยจะต้องรักษาซ้ำโดยเปลี่ยนยา เพราะมีความเป็นไปได้ว่าเชื้ออาจดื้อยา
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ จากการติดเชื้อเอชไพโลไร
การติดเชื้อเอชไพโลไร ส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและรวดเร็ว แผลดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายตามมา เช่น
- ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร แผลในกระเพาะอาหารส่งผลให้มีเลือดออกภายในระบบทางเดินอาหาร และอาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง ซึ่งภาวะนี้เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุด
- กระเพาะอาหารทะลุ แผลจากการติดเชื้อในกระเพาะอาหารที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดการทะลุของกระเพาะอาหารตามมา คนไข้จะมีอาการปวดท้องช่วงบนเฉียบพลันรุนแรง หน้า ท้องแข็งตึง เมื่อกดบริเวณท้องจะรู้สึกเจ็บมาก
- กระเพาะอาหารอุดตัน ทำให้อาหารไม่สามารถเคลื่อนออกจากกระเพาะอาหารได้ ผู้ป่วยจะอิ่มเร็ว อาเจียน เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด
- โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร การติดเชื้อเอชไพโลไร เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
รู้วิธีป้องกัน…ก่อนติดเชื้อเอชไพโลไร
เราสามารถป้องการติดเชื้อเอชไพโลไรได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและลดพฤติกรรมที่อาจกระตุ้นให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนจัดเตรียม และก่อนรับประทานอาหาร
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด รวมทั้งอาหารไม่สุก
- ลดการรับประทานอาหารที่มีรสจัด งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
- งดการใช้ยาแก้ปวดแอสไพริน และยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
- ผ่อนคลายความเครียดและความวิตกกังวล พักผ่อนให้เพียงพอ
- หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
“เชื้อเอชไพโลไร” ไม่ใช่แค่ทำให้เป็นโรคกระเพาะเท่านั้น เพราะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ ฉะนั้นหากตรวจพบ “เชื้อเอชไพโลไร” ควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์เฉพาะทาง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
เพราะหากไม่รีบรักษา…อาการปวดท้อง…อาจไม่ใช่ “แค่” ปวดท้องธรรมดา
นพ. อุดมรัช โกวิททวิพัฒน์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรม
ศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์