เพราะเรื่องสุขภาพและโรคทางร่างกายเต็มไปด้วยความซับซ้อน เราเองจึงต้องคอยรับบทตำรวจตรวจสอบและสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายอยู่เสมอ หากพบความผิดปกติแม้แต่เพียงเล็กน้อย เราก็ไม่ควรปล่อยผ่าน
อย่างในส่วนของ “คอ” ที่ พญ.นภารัตน์ จิระวัฒนผลิน โสต ศอ นาสิกแพทย์ โรงพยาบาลพญาไท 3 ได้ให้คำแนะนำว่า เราควรจะมีการคลำคอ เช่นเดียวกับที่มีการรณรงค์ให้คลำเต้านมทุกเดือน เพื่อที่ว่าหากอยู่ๆ มีก้อนขึ้นมาจะได้รีบตรวจรักษากันแต่เนิ่นๆ
ก้อนที่คอ…เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง ?
แม้จะไม่ใช่เรื่องปกติถ้าวันดีคืนดีจะเกิดมีก้อนขึ้นมาที่ลำคอ แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งตื่นตูมไป เพราะหากพบเร็วและรู้ตัวไวก็มักรักษาได้ทัน แต่ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการรักษา คงต้องดูที่มาของก้อนที่คอกันก่อน ซึ่ง พญ.นภารัตน์ ได้บอกไว้ว่า…
“โดยปกติคอของคนเราแบ่งได้คร่าวๆ ออกเป็นบริเวณด้านข้าง ตรงกลาง เหนือไหปลาร้า และใต้คาง แต่หากเราแบ่งตามชั้นผิวหนัง ก็จะแบ่งคร่าวๆ ให้เห็นภาพได้ง่ายๆ ว่ามี “ชั้นบน กับ ชั้นลึก”
- ชั้นบน คือชั้นผิวหนัง ที่มีรูขุมขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อต่างๆ สามารถเกิดสิว หรือก้อนผิวหนังที่นูนออกมาได้ชัด เช่น ไฝ หูด หรือติ่งเนื้อต่างๆ
- ชั้นลึก คือชั้นที่มีเนื้อไขมัน ลงไปลึกกว่านั้นก็จะมีกล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาท ในส่วนชั้นลึกนี้ เราจะพบต่อมน้ำเหลืองได้ สามารถคลำพบได้ไม่เกิน 1 ซม. ในเด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่ที่คอผอมบางอาจคลำได้ง่ายกว่า เนื่องจากเนื้อไขมันน้อยจึงไม่บดบังก้อนมากนัก
มีก้อนที่คอ มีทั้งอันตรายและไม่อันตราย
ถ้าวันหนึ่งเราอยู่เฉยๆ แล้วมีก้อนขึ้นมา ให้เริ่มจากว่าก้อนนั้นเกิดบริเวณไหน จากนั้นค่อยดูว่าก้อนนั้นมีอาการเจ็บหรือเปล่า ถ้ามีขนาดเกิน 1 ซม. ลักษณะนี้อาจจะเกิดการอักเสบได้จากทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ซึ่งสามารถเป็นอันตรายและไม่เป็นอันตรายได้ในเวลาเดียวกัน พูดง่ายๆ คือถ้าหากกดเจ็บมักเกิดจากการติดเชื้อ ถ้าเป็นเชื้อแบคทีเรียที่รักษาได้เร็วไม่ลุกลามเป็นฝีหนองก็ไม่อันตราย แต่ถ้าเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบจากเชื้อไวรัส เช่น HIV และวัณโรคต่อมน้ำเหลือง ที่เราอาจจะไม่รู้ตัวว่าติดมาตอนไหน ก็สามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอลงได้ หากไม่ได้รีบตรวจรักษาโดยทันที
นอกจากนี้ถ้ามีก้อนโตขึ้นบริเวณตรงกลาง หรือคอด้านข้าง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นไทรอยด์ ซึ่งจะมีอาการร่วมกับการมีความรู้สึกว่ามีก้อนเคลื่อนขึ้นลงขณะกลืน นอกจากต่อมน้ำเหลืองและไทรอยด์ที่เจอได้บ่อยแล้ว ยังมีก้อนที่มาจากตุ่มหนอง หรือพวกฝีหนองที่เกิดบนผิวหนังได้ แบบนี้จะให้ความรู้สึกที่นูนขึ้นมาอย่างชัดเจน ซึ่งจะต่างจากต่อมน้ำเหลืองและไทรอยด์
มีก้อนที่คอ ยอมเจ็บแต่จบ…ดีกว่า
ตามความเข้าใจของคนทั่วไป เรามักจะคิดว่าถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้น หรือมีก้อนขึ้นมาโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวด มักไม่ใช่อาการรุนแรงที่จะต้องเป็นกังวล แต่ในมุมของ พญ.นภารัตน์ คุณหมอบอกว่า เป็นในทางตรงกันข้ามเลย…
“ถ้าเจ็บนี่ก็ถือว่ารุนแรงน้อยกว่าไม่เจ็บ เพราะถ้าเจ็บมักจะเกิดจากการติดเชื้อ หรือถ้าต่อมน้ำเหลืองเจ็บ แล้วเจ็บนานๆ ก็อาจจะเป็นฝีที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายไป ทำให้กลายเป็นหนองเกิดขึ้น การรักษาจะทำโดยการให้ยาฆ่าเชื้อแล้วระบายหนองออก เป็นการรักษาที่เจ็บแต่จบ ส่วนถ้าไม่มีอาการเจ็บ อาจจะเป็นสาเหตุมาจากเนื้องอก ซึ่งหากเป็นเนื้องอกก็มีทั้งจากไทรอยด์ และจากมะเร็งในช่องคอและปากแพร่กระจายมา ส่วนมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผู้ป่วยก็จะมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่คอโตได้ แต่ถ้าเป็นวัณโรค อาการอาจจะเจ็บน้อยหน่อย หรือบางทีไม่เจ็บเลย แต่การรักษาจะใช้เวลานาน ต้องกินยานาน 6 เดือนเป็นอย่างน้อย
สำหรับต่อมไทรอยด์ส่วนใหญ่มักไม่เจ็บ ยกเว้นอักเสบ รวมถึงมีก้อน ซึ่งการรักษาสำหรับคนไข้ไทรอยด์ที่ไม่มีอาการเจ็บ จะต้องทำการเจาะตรวจและอัลตราซาวด์ เพื่อฟันธงว่าเป็นเนื้อร้ายหรือเนื้อดี ถ้าเป็นแค่ติ่งเนื้อทั่วไปหรือเป็นก้อนซีสต์ก็แค่ติดตามเฝ้าดูอาการทุกๆ 6 เดือนถึง 1 ปี”
ก้อนโตบริเวณคอที่พบบ่อย มักเกิดจากโรคอะไร ?
สาเหตุคร่าวๆ ของก้อนโตบริเวณคอที่พบบ่อย มีดังนี้
- ต่อมน้ำเหลืองคอติดเชื้อแบคทีเรีย ที่มาจากบริเวณโพรงจมูก ช่องปาก กล่องเสียง หรือผิวหนังใบหน้า
- ต่อมน้ำเหลืองคอติดเชื้ออื่นๆ เช่น ไวรัส วัณโรคต่อมน้ำเหลือง
- เนื้องอกชนิดไม่ใช่มะเร็งที่เกิดบริเวณ
- ผิวหนังชั้นบน เช่น ไฝ หูด
- เนื้อเยื่อชั้นลึก เช่น เนื้องอกไทรอยด์ ต่อมน้ำเหลืองโต เนื้องอกของหลอดเลือด เนื้องอกไขมัน
- มะเร็ง
-
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)
- ต่อมน้ำเหลืองที่แพร่มาจากส่วนอื่นๆ (Metastatic cervical lymphadenopathy) เช่น จาก ไทรอยด์ หู คอ จมูก กล่องเสียงและปอด เป็นต้น
ก้อนที่คอรอไม่ได้ ต้องรีบตรวจรักษา
พญ.นภารัตน์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ก้อนที่คออาจยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล ยกเว้นแต่ว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้น…
“ถ้าก้อนนี้โตเร็วและเจ็บเยอะขึ้น หรือมีอาการไข้ร่วมกับมีน้ำหนักลด เบื่ออาหารโดยที่ไม่ทราบสาเหตุหรือมีอาการเจ็บในช่องปาก มีแผล ไอเป็นเลือด ซึ่งไอเป็นเลือดนี้มักจะแสดงถึงอาการของวัณโรค มีขนาดใหญ่เกิน 1 ซม. ขึ้นไป หรือมีก้อนหลายก้อน ถ้ามีอาการหนึ่งอาการใดของทั้งหมดนี้ ควรจะต้องรีบมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ”
นอกจากนี้ พญ. นภารัตน์ ยังได้ทิ้งท้ายถึงการดูแลตัวเอง เพื่อให้ห่างไกลจากก้อนที่คอว่า
“ทุกคนควรเริ่มจากการรู้ว่า ร่างกายของเรานั้นมีอวัยวะใดอยู่ตรงไหนบ้าง เพื่อคอยสังเกตความผิดปกติต่างๆ ด้วยวิธีการจับหรือคลำด้วยตัวเองทุกๆ 1-2 เดือน โดยอาจจะทำในระหว่างฟอกสบู่ขณะอาบน้ำ ซึ่งจะพบได้ง่ายกว่า เพื่อจะได้รู้ถึงความผิดปกติ และทำการตรวจรักษาก่อนที่จะลุกลามจนเป็นปัญหาใหญ่ตามมา”