ต้อเนื้อ (Pterygium) เป็นโรคของผิวหน้าลูกตาที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อตา ซึ่งมีลักษณะเป็นพังผืดและมีเส้นเลือดมาเลี้ยง
โรคนี้พบบ่อยในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรซึ่งมีแสงแดดจัด แม้สาเหตุหรือกระบวนการเกิดโรคต้อเนื้อยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ก็พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่มีความเชื่อมโยงและนับเป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้ โดย ปัจจัยเสี่ยงโรคต้อเนื้อที่สำคัญที่สุด คือ การที่ดวงตาสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีบ่อยและนานเป็นประจำ
รังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี กับการเกิดโรคต้อเนื้อ?
รังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี (Ultraviolet (UV) radiation) มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ UVA, UVB และ UVC แต่สาเหตุหลักของการเกิดต้อเนื้อนั้น เกิดจากสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ซึ่งดวงตาจะได้รับรังสี UVB ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลล์กับเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องจนเกิดเป็นต้อเนื้อขึ้นมา
ต้อเนื้อ รักษาได้หลายวิธี
การรักษาต้อเนื้อ หากเป็นในระยะเริ่มต้นหรือยังเป็นไม่มาก มักจะเป็นการรักษาแบบประคับประคอง โดยการให้ยาหยอดและ/หรือยาป้ายเฉพาะที่ เพื่อลดอาการเคือง คัน ปวด บวม หรือการอักเสบ ร่วมกับการใส่แว่นกันแดด เป็นการรักษาเพื่อช่วยลดอาการ และป้องกันไม่ให้โรคต้อเนื้อลุกลามมากขึ้น
แต่หากรักษาแบบประคับประคองมาสักพักแล้วไม่ได้ผล คนไข้มีการมองเห็นที่แย่ลง มีอาการปวดบวมหรือแดงมากขึ้น ต้อเนื้อเริ่มจำกัดการเคลื่อนไหวของลูกตา มีสายตาเอียงอันเกิดจากต้อเนื้อโดยตรง หรือมีความไม่สวยงามของดวงตาเกิดขึ้น แพทย์จะพิจารณาทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด
5 วิธีที่นิยมใช้ในการผ่าตัดต้อเนื้อในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน การผ่าตัดลอกต้อเนื้อจะพิจารณาเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งใน 5 วิธีนี้ ซึ่งได้แก่
- ลอกต้อเนื้อและเปิดส่วนที่เป็นตาขาวทิ้งไว้ (Bare sclera technique)
- ลอกต้อเนื้อและดึงเยื่อตาที่อยู่รอบเข้ามาชิดขอบตาดำพร้อมเย็บปิด (Simple conjunctival closure)
- ลอกต้อเนื้อและปลูกถ่ายเยื่อตาของผู้ป่วยในบริเวณที่ลอกออก (Resection followed by autologous conjunctival graft)
- ลอกต้อเนื้อและปลูกถ่ายเนื้อเยื่อขอบตาดำ รวมทั้งเยื่อตาของผู้ป่วยในบริเวณที่ลอกออก (Resection followed by limbal-conjunctival graft)
- ลอกต้อเนื้อและปลูกถ่ายเยื่อหุ้มรกในบริเวณที่ลอกออก (Resection followed by amniotic membrane graft)
การดูแลคนไข้หลังผ่าตัดต้อเนื้อ
จักษุแพทย์จะให้ยาหยอดตาแก้อักเสบในกลุ่มสเตียรอยด์ (steroids) ซึ่งอาจเป็นชนิดที่มีฤทธิ์ มาก (corticosteroids) เช่น prednisolone acetate, dexamethasone หรือฤทธิ์อ่อน (soft steroids) เช่น fluorometholone, loteprednol ร่วมกับยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังผ่า นอกจากนี้ยังมียาหยอดตาชนิดอื่น เช่น กลุ่ม nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs), cyclosporine A ที่ใช้รักษาได้
เนื่องจากการรักษาด้วยยาหยอดสเตียรอยด์ และการหยุดยาหลังผ่าตัดต้อเนื้อนั้นต้องค่อยๆ ลดระดับ จึงทำให้ใช้เวลารักษาค่อนข้างนาน จากการศึกษาพบว่า ระยะเวลาที่คนไข้หยอดสเตียรอยด์ มีตั้งแต่น้อยกว่า 1 เดือน จนถึงมากกว่า 3 เดือน แต่โดยมากอยู่ในช่วง 1-2 เดือน
การใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ ความดันตาสูงขึ้นและเป็นโรคต้อหินในเวลาต่อมาได้ นอกจากนั้นคนไข้บางรายอาจมีความไวต่อสเตียรอยด์มากกว่าคนปกติ และพบมีความดันตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะใช้ปริมาณน้อยก็ตาม ดังนั้นการใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และการตรวจติดตามผลหลังผ่าตัดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การพบแพทย์ตามนัดไม่เพียงเพื่อติดตามผลการผ่าตัดและเฝ้าระวังการติดเชื้อหลังผ่าตัดเท่านั้น แต่ยังเป็นการสังเกตการณ์เพื่อป้องกันภาวะความดันตาสูง (ocular hypertension) และโรคต้อหิน (glaucoma) ที่อาจเกิดตามมา และนำไปสู่ภาวะตาบอดแบบถาวรได้อีกด้วย
การสวมแว่นกันแดด อย่างต่อเนื่องหลังผ่าตัดเมื่อออกกลางแจ้งยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยป้องกันหรือลดการเป็นซ้ำได้ ซึ่งต้อเนื้อที่เป็นซ้ำมักจะมีลักษณะที่หนาและแดงกว่าเดิม ทั้งการรักษาโดยการลอกต้อเนื้ออีกครั้งก็จะทำยากกว่าในครั้งแรก