โรคหลอดเลือดสมอง หรือ โรค Stroke เกิดจากภาวะที่สมองขาดเลือด เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ ซึ่งอาการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตและความพิการอันดับ 1 ของคนไทย
อันตรายของโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ตีบ/ตัน และแตก ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากหลอดเลือดในสมองตันหรือแตก ผู้ป่วย 10% มีโอกาสเสียชีวิตภายใน 1-2 สัปดาห์ และผู้ป่วย 30% มีโอกาสที่จะพิการเนื่องจากสมองเสียหาย ขาดออกซิเจนและอาหารที่จำเป็นสำหรับให้เซลล์ดำรงชีวิต ประหนึ่งต้นไม้ที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยงจึงเหี่ยวเฉาและตายไป ทำให้ผู้ป่วยบางรายต้องนอนติดเตียง เดินไม่ได้ หรือต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
อาการของโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันเฉียบพลัน
- แขน/ขาอ่อนแรงครึ่งซีก ชาครึ่งซีก เป็นแบบทันทีทันใด
- ปากเบี้ยวหรือหน้าเบี้ยว พูดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจภาษา พูดอ้อแอ้ พูดไม่ชัด
- ตาข้างใดข้างหนึ่งมองไม่เห็น หรือมองเห็นครึ่งซีกของลานสายตา หรือเห็นภาพซ้อน
- เวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเคลง เดินเซ คล้ายคนเมาเหล้า
อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันและทันทีทันใด โดยไม่มีสัญญาณเตือน ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวล่วงหน้า
4.5 ชั่วโมง เวลาทองในการช่วยชีวิตผู้ป่วย
และการรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ
(Antithrombolytic therapy for acute ischemic stroke)
อย่างที่ทราบกันว่า “สมอง” เป็นอวัยวะที่สำคัญ เมื่อเกิดความผิดปกติจากการอุดตันของหลอดเลือดจึงต้องรีบรักษาอย่างรวดเร็วด้วยการเปิดหลอดเลือด เพื่อให้เลือดสามารถไหลไปยังบริเวณสมองที่ขาดเลือดโดยเร็วที่สุด คือต้องเปิดให้ได้ก่อนที่เซลล์สมองจะตายภายใน 4.5 ชั่วโมง เพื่อให้เซลล์สมองฟื้นกลับมาทำงานให้ได้มากที่สุด
ซึ่งการรักษาวิธีหนึ่ง คือการให้ ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ที่แพทย์ทั่วโลกเลือกใช้รักษาภาวะหลอดเลือดสมองตีบ/อุดตันระยะเฉียบพลัน ในผู้ป่วยที่ไม่มีข้อห้ามใช้ยา
จากการศึกษาของ ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพญาไท 2 พบว่า การรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ แต่ผู้ป่วยที่ได้รับยา 31-50% จะมีอาการดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง และมีอาการเกือบเป็นปกติภายใน 3 เดือน เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยา มีเพียง 20-30% จะมีอาการดีขึ้น
ลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างไร?
จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ แต่อย่างไรก็ตาม การคัดเลือกสภาวะผู้ป่วยที่เหมาะสมก็มีส่วนช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ อาทิ ในกรณีที่เลือดออกในสมอง ผู้ป่วยอาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อระบายเลือดที่ออกภายในสมอง หรือเลือดออกที่บริเวณส่วนต่างๆ ในร่างกาย เช่น ทางเดินอาหาร ใต้ผิวหนัง รวมถึงพิจารณาเรื่องการแพ้ยา ซึ่งแพทย์ก็จะเลือกใช้วิธีที่ปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด
วิธีการให้ยาละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนจะได้รับยาละลายลิ่มเลือด เนื่องจากข้อเสียของยาอาจทำให้มีอาการเลือดออกแล้วหยุดยาก ดังนั้น การให้ยาจึงต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ ต้องให้ยาด้วยความระมัดระวัง โดยแพทย์จะใช้เวลาให้ยาประมาณ 60 นาที และหลังจากนั้นผู้ป่วยจะได้รับการรักษาและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดในหอผู้ป่วยหนัก
สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือด ต้องมีอาการตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยใช้การคำนวณตามมาตรฐานสากลที่เรียกว่า N1H Stroke scale หากได้รับยาช้ากว่าที่ควรจะเป็น ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะพิการ ดังนั้น ก่อนให้ยาแพทย์ต้องทราบอาการที่แน่ชัด มีการซักประวัติอย่างใกล้ชิด และตัวผู้ป่วยต้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan) เมื่อพบว่าไม่มีเลือดหรือภาพสมองไม่เปลี่ยนแปลงจึงจะรับยาได้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยต้องไม่มีประวัติแพ้ยาหรือมีข้อห้ามในการให้ยาละลายลิ่มเลือด
ได้รับยาไม่ทัน 4.5 ชั่วโมง จะรักษาอย่างไร?
ในกรณีที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์หลัง 4.5 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ ผู้ป่วยที่มีอาการอัมพฤกษ์อัมพาตเล็กน้อยยังสามารถรักษาได้ทัน และสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก เนื้อสมองเสียหาย เนื้อเยี่อสมองมีการขาดเลือด (Ischemic penumbra) หากได้รับการดูแลที่ดี ก็มีโอกาสที่ฟื้นตัว แต่อาจจะช้าหรือไม่ดีนัก
ทั้งนี้ เมื่อมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ซึ่งสามารถติดต่อเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินของโรงพยาบาลพญาไท 2 ได้ที่ โทร. 1772 ตลอด 24 ชั่วโมง