ตรวจหัวใจ “EST” กับ “Echo” ต่างกันอย่างไร เลือกตรวจแบบไหนดี

พญาไท นวมินทร์

1 นาที

จ. 25/04/2022

แชร์


Loading...
ตรวจหัวใจ “EST” กับ “Echo” ต่างกันอย่างไร เลือกตรวจแบบไหนดี

การตรวจสุขภาพหัวใจ “EST” กับ “Echo” แบบไหนที่เหมาะกับคุณ

“หัวใจ” เป็นอวัยวะที่ทำงานตลอดเวลา และยังมีผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายด้วย  ฉะนั้นการตรวจสมรรถภาพการทำงานของ “หัวใจ” จึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่เราจะเหมาะกับการตรวจแบบไหน ระหว่างการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography-ECHO) กับการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะเดินสายพาน (Exercise Stress Test-EST) ก็ต้องมาดูกันก่อนว่า การตรวจ 2 แบบนี้ต่างกันอย่างไร? และให้ผลแบบใด!

 

ความต่างของการตรวจสุขภาพหัวใจ “EST” กับ “Echo”

การจะเลือกวิธีตรวจสุขภาพ “หัวใจ” ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ โดยแพทย์จะพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งการซักประวัติ ประวัติสุขภาพและความเสี่ยงของโรค ที่สำคัญ ผู้เข้ารับการตรวจต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริงอย่างครบถ้วนแก่แพทย์ เพื่อการเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งมีเกณฑ์ที่ผู้เข้ารับการตรวจควรรู้ ดังนี้

 

หลักการทำงานและสิ่งที่ตรวจพบได้

  • EST : เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะทำงานหนัก (Exercise Stress Test) โดยใช้หลักการกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นเหมือนการออกกำลังกาย การตรวจด้วยวิธีนี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ดี หากผู้ป่วยมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือหลอดเลือดหัวใจตีบอยู่จะทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ มีผลให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจที่แสดงออกมานั้นผิดปกติ

 

  • Echo : เป็นการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram, Echocardiography) เพื่อตรวจวัดประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ โดยใช้การสะท้อนกลับของคลื่นเสียงความถี่สูงที่ถูกปล่อยออกมาจากหัวตรวจส่งผ่านผนังทรวงอกไปถึงหัวใจ เมื่อคลื่นเสียงผ่านอวัยวะต่างๆ ก็จะเกิดสัญญาณสะท้อนกลับที่แตกต่างกันระหว่างน้ำกับเนื้อเยื่อ คอมพิวเตอร์จะนำสัญญาณเหล่านี้มาแปลเป็นภาพให้เห็นบนจอ ซึ่งจะแสดงถึงรูปร่าง ขนาด การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และลิ้นหัวใจ ทำให้ทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ เช่น การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ขนาดของห้องหัวใจ การไหลเวียนเลือดในหัวใจ การเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ และตำแหน่งหลอดเลือดต่างๆ ที่เข้าและออกจากหัวใจ

 

การตรวจหัวใจแบบไหน  เหมาะกับใคร?

  • EST : เหมาะกับผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป ทั้งที่ไม่มีและมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เช่น ผู้สูบบุหรี่จัด ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกบ่อยๆ จากการออกแรงหรือออกกำลังกาย

 

  • Echo : เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหอบ เหนื่อย หายใจลำบาก และผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ

 

ขั้นตอนการตรวจสุขภาพหัวใจ

  • EST : เจ้าหน้าที่จะติดอุปกรณ์วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จากนั้นผู้เข้ารับการตรวจจะเริ่มเดินช้าๆ บนเครื่องเดินสายพาน และค่อยๆ เพิ่มความเร็วและความชันของสายพาน โดยจะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที  ในระหว่างนั้นจะมีการวัดความดันโลหิตเป็นระยะๆ หากผู้รับการตรวจมีภาวะหัวใจขาดเลือดจะส่งผลให้คลื่นไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไป เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอในการวินิจฉัยแล้วแพทย์จะให้หยุดการเดินบนสายพาน

 

  • Echo : ผู้รับการตรวจนอนบนเตียงราบ เจ้าหน้าที่ทำการติดอุปกรณ์แผ่นคลื่นไฟฟ้าหัวใจไว้บริเวณทรวงอกเพื่อเฝ้าสังเกตคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และดูอัตราการเต้นของหัวใจ จากนั้นแพทย์จะใช้หัวตรวจใส่เจล และถูตรวจบริเวณหน้าอกและใต้ราวนม ใช้เวลาในการตรวจ 20-45 นาที ระหว่างการตรวจผู้รับการตรวจจะไม่รู้สึกเจ็บ

ข้อจำกัดในการตรวจ

  • EST : ไม่สามารถเห็นโครงสร้างของหัวใจได้ ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อต่างๆ  และผู้ที่อายุมาก

 

  • Echo : ดูได้เฉพาะโครงสร้างหัวใจ แต่จะไม่เห็นเส้นเลือดหัวใจ และอาจมองเห็นไม่ชัดเจนในผู้ที่อ้วนมาก เพราะไขมันอาจขัดขวางคลื่นความถี่สูง

 

ตารางสรุปเทียบความแตกต่างของการตรวจสุขภาพหัวใจ

ความแตกต่าง EST Echo
หลักการทำงาน กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เหมือนการออกกำลังกาย ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง
เหมาะกับ อายุ 40 ขึ้นไป แน่นอกเวลาออกแรง หรือผู้ที่เจ็บหน้าอกจากการออกกำลังกาย ผู้ที่มีอาการบวมและหอบเหนื่อย เสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
การตรวจวินิจฉัย โรคหลอดเลือดตีบตัน

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

โรคหัวใจโต ลิ้นหัวใจตีบ

โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ และโรคของเยื่อหุ้มหัวใจ

ขั้นตอนการตรวจ เดิน หรือวิ่งบนสายพานที่ค่อยๆ

เพิ่มระดับความเร็ว

นอนบนเตียงราบ ตรวจบริเวณทรวงอกด้านนอก
ข้อจำกัด ไม่สามารถเห็นโครงสร้างของหัวใจได้ ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อ ดูได้เฉพาะโครงสร้างหัวใจ แต่จะไม่เห็นเส้นเลือดหัวใจ

 

การตรวจสุขภาพหัวใจทั้งสองแบบนี้ มีบทบาทสำคัญในการตรวจสมรรถภาพ “หัวใจ” เมื่อใดที่คุณรู้สึกว่า “หัวใจ” อ่อนแอ เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจ วินิจฉัย และรับการรักษาให้ “หัวใจ” กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมหรือป้องกันการลุกลามของโรค เพราะหากคุณไม่ดูแลสุขภาพ “หัวใจ” ร่างกายทั้งระบบก็พร้อมจะอ่อนแอตามไปด้วยเช่นกัน


นัดหมายแพทย์

แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ




Loading...