โรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE (Systemic Lupus erythematosus) หรือ Lupus คือโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ จนก่อให้เกิดการอักเสบและเกิดอาการผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โรคนี้พบในหญิงวัยเจริญพันธุ์ได้บ่อยกว่าในเพศชาย และพบบ้างในเด็ก ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเป็นๆ หายๆ และอาการของโรคก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน
โรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE เกิดจากอะไร?
ในสภาวะปกติ ระบบภูมิคุ้มกันจะมีหน้าที่ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ แต่ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ ระบบภูมิคุ้มกันจะหันมาทำลายเนื้อเยื่อของตัวเอง จึงก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคแพ้ภูมิตัวเองนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุร่วมกัน เช่น เกิดจากพันธุกรรมที่มีความเสี่ยงต่อโรค การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม มีการติดเชื้อ หรือเกิดจากการถูกแสงแดดมากเกินไปซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรค
อาการของโรคภูมิแพ้ตัวเอง SLE ที่พบบ่อย
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการที่เกิดจากการอักเสบของอวัยวะต่างๆ เช่น
- มีผื่นแดงที่ใบหน้า หรือบริเวณที่โดนแดด
- ปวดข้อ ข้อบวมจากการอักเสบ
- ผมร่วง
- มีแผลในปาก
- ไตอักเสบ
- มีการอักเสบของปอดหรือหัวใจ
- เกิดภาวะโลหิตจาง เม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดต่ำ
- มีอาการทางสมอง ทำให้ชัก
- มีอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น มีไข้เรื้อรัง อ่อนเพลีย หรือน้ำหนักลด
การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ตัวเอง SLE
เมื่อมีอาการที่สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการประเมินและตรวจทางห้องปฏิบัติการ รวมถึงทำการตรวจเลือดที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน (Antinuclear antibody หรือ ANA) เพื่อการวินิจฉัยที่ตรงจุด และทำการรักษาให้ตรงโรคต่อไป
การรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินความรุนแรงของโรค และวางแผนการรักษาด้วยการให้ยา เช่น ยาปรับภูมิคุ้มกัน ยากดภูมิคุ้มกัน หรือกลุ่มยาสเตียรอยด์แล้วแต่กรณี
ผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
เนื่องจากโรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE เป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างสม่ำเสมอ และรับประทานยาให้ครบตามแพทย์กำหนด ทั้งยังควรใช้ครีมกันแดด หรือหลีกเลี่ยงการออกแดด ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ทำสมาธิ ไม่วิตกกังวลกับเรื่องต่างๆ มากเกินไปจนเกิดภาวะเครียด
สำหรับผู้ป่วยที่มีแผนการจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวคุณแม่และลูกในครรภ์