ในปัจจุบันมีการบำรุงผิวหลายวิธี ตั้งแต่การทาครีม การฉีดวิตามิน การฉีดสารบำรุงต่างๆ รวมไปถึงการทำโฟโน (Phono) ซึ่งเป็นเทคนิคการผลักวิตามินด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาผิว และต้องการวิธีฟื้นฟูผิวที่มากกว่าการทาครีมทั่วไป แต่ไม่อยากฉีดหรือกลัวเจ็บ ในวันนี้เราจะพาไปรู้จักการทำโฟโน ว่าคืออะไร มีขั้นตอนการทำอย่างไร ปลอดภัยไหม และต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน?
สารบัญ ผลักวิตามินด้วยคลื่นเสียง Phono
- โฟโน (Phono Treatment ) คืออะไร?
- กระบวนการทำงานของ Phono
- การทำโฟโน (Phono) เหมาะกับใคร?
- ข้อดี-ข้อเสียการทำ โฟโน
- การทำโฟโน (Phono) อันตรายไหม?
- ข้อปฏิบัติตัวก่อน-หลังรักษา
- ขั้นตอนทำโฟโน (Phono) เป็นอย่างไร?
- ทำโฟโน (Phono) กี่ครั้งเห็นผล?
- ทำโฟโน (Phono) ต่างจากการทำ ไอออนโต (Ionto)อย่างไร?
- ทำโฟโน (Phono) เจ็บไหม?
โฟโน (Phono Treatment) คืออะไร?
โฟโน (Phono) หรือ โฟโนโฟเรซิส (Phonophoresis) คือ เครื่องนวดขนาดเล็กที่ผลิตจากสแตนเลส ด้านในบรรจุคริสตัล (ไม่ทำให้ผิวเกิดการแพ้) การทำงานของเครื่อง จะมีการส่งคลื่นเหนือเสียง Ultrasonic Wave 0.8-1 เมกะเฮิรตซ์ ที่ช่วยผลักยาหรือวิตามิน เช่น วิตามินซี คอลลาเจน Whitening cream สารต้านอนุมูลอิสระ ให้ซึมผ่านชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว จึงเห็นผลอย่างชัดเจนต่อผิว และช่วยฟื้นบำรุงผิวได้มากกว่าการทาครีมแบบธรรมดาทั่วไป
กระบวนการทำงานของ Phono
กระบวนการทำงานของ Phono เหมือนเป็นทางลัดในการนำสารบำรุงต่างๆ ให้ซึมเข้าสู่เซลล์ผิวได้ดีมากขึ้น เร็วมากขึ้น โดยทำให้รูขุมขนเปิดกว้าง ช่วยให้สารบำรุงสำคัญจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแทรกซึมลงสู่ชั้นผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการทาครีมแบบปกติตัวครีมจะอยู่แค่ที่ผิวชั้นนอก การทำโฟโนจึงเน้นที่การบำรุงเซลล์เป็นหลักโดยใช้คลื่นเสียงเป็นตัวกลาง
นอกจากนี้ คลื่นเสียงความถี่สูงยังทำให้เนื้อเยื่อชั้นลึกเกิดความร้อน เกิดการสั้นสะเทือนในระดับเซลล์ผิว ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ขับของเสียออกจากเซลล์โดยระบบน้ำเหลือง จึงช่วยลดริ้วรอย ยกกระชับผิว ทำให้ใบหน้ากระจ่างใส ลดการเกิดสิว ผดผื่น รวมไปถึงช่วยขจัดความหมองคล้ำบนใบหน้าได้
การทำโฟโน (Phono) เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อยไม่มาก
- ผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ ขาดความชุ่มชื้น
- ผู้ที่มีรอยคล้ำ ริ้วรอยรอบดวงตา ถุงใต้ตา
- ผู้ที่ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี ผิวหน้าหมองคล้ำ
- ผู้ที่เป็นสิว ผดผื่น มีรอยดำ รอยแดงจากสิว
ข้อดีและข้อจำกัดในการทำโฟโน
แม้ว่าการทำโฟโน จะมีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ หรือระคายเคือง แต่ก็มีข้อดีและข้อจำกัด ที่ควรทราบ ดังนี้
ข้อดีของการทำโฟโน
- ช่วยผลักวิตามินให้ซึมเข้าสู่เซลล์ผิวได้มากกว่าการทาครีมตามปกติ ทำให้ผิวได้รับสารบำรุงอย่างเต็มที่ และใช้สารบำรุงได้หลากหลายตามลักษณะปัญหาของแต่ละคน
- ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องพักฟื้น มีความปลอดภัยสูง
- ช่วยให้ผิวหน้า เนียนนุ่ม สดใส ชะลอการเกิดริ้วรอยจากวัยและแสงแดด
- ช่วยลดการบวม หรือรอยคล้ำดำรอบดวงตาได้อย่างเห็นผล
- ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด และน้ำเหลืองของใบหน้า
ข้อจำกัดของการทำโฟโน
- การที่วิตามินหรือสารบำรุงผิวต่างๆ จะซึมผ่านผิวได้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการทำ ความแรง และความถี่ของคลื่นเสียงที่ใช้ ควรเลือกทำกับแพทย์ในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
- ไม่สามารถรักษารอยได้ทุกชนิด เช่น กระ ฝ้า ต้องใช้เครื่องมือหรือเลเซอร์อื่นๆ ร่วมด้วย
- มีข้อห้ามใช้ในผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ (Cardiac pacemaker) ผู้ป่วยโรคมะเร็ง หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาตัวที่จะนำมาทำไอออนโตโฟเรซิส หรือโฟโนโฟเรซิส ผู้ที่มีบาดแผล หรือติดเชื้อบริเวณผิวหนัง
การทำโฟโน (Phono) อันตรายไหม?
การทำโฟโน (Phono) เป็นการใช้คลื่นเสียงที่ปลอดภัย และใช้อุปกรณ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หากทำทำโฟโนกับแพทย์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีขั้นตอนและกระบวนการทำที่ถูกต้อง จะมีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ในการผลักวิตามินแน่นอน แต่หากทำกับบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ ไม่ได้ทำในสถานพยาบาล จะมีความเสี่ยงที่อาจเกิดผลข้างเคียงอันตรายได้ เช่น หน้าไหม้ เป็นผื่นแดง ผิวอักเสบ
ขั้นตอนทำโฟโน (Phono) เป็นอย่างไร?
- ปรึกษาแพทย์ถึงปัญหา และให้ประเมินสภาพผิว
- ก่อนทำโฟโนจะมีการลบเครื่องสำอาง และทำความสะอาดผิวหน้า
- แพทย์จะทายาหรือวิตามินลงบนผิวหน้าบริเวณที่ต้องการผลักวิตามิน
- ใช้เครื่องมือโฟโนค่อยๆ นวดคลึงให้ทั่วใบหน้า ปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงที่ทำให้ตัวยาและวิตามินซึมลงสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การปฏิบัติตัวก่อน-หลังรักษา
เพื่อให้การผลักวิตามินด้วยคลื่นเสียง Phono เห็นผลลัพธ์ที่ดี และมีความปลอดภัย ควรเตรียมตัวก่อนทำ และดูแลตัวเองหลังทำ ดังนี้
การปฏิบัติตัวก่อนทำโฟโน
- ศึกษาข้อมูล และปรึกษาแพทย์ถึงข้อดี-ข้อจำกัด ก่อนทำโฟโน
- พบแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวหน้าและรับคำแนะนำต่างๆ
- ไม่ควรแต่งหน้ามาในวันที่ทำโฟโน หรือหากแต่งมาจะมีการลบเครื่องสำอางออกก่อนทำ
- พักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการผลักวิตามิน
การปฏิบัติตัวหลังทำโฟโน
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังทำโฟโน
- ทาครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งที่ต้องเจอแดด
- ใช้สบู่อ่อนๆ ที่ถนอมผิว รักษาความสะอาดของผิวอย่างสม่ำเสมอ
- ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ เช่น ผัก ผลไม้ที่มีวิตามินเอ เช่น มะละกอ แอปเปิ้ล
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น
ทำโฟโน (Phono) กี่ครั้งจึงเห็นผล?
หลังทำโฟโนครั้งแรกอาจจะไม่เห็นผลภายนอกได้ชัดเจน แต่สามารถรู้สึกได้ว่าผิวใส และนุ่มเนียนขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละคน สำหรับคนที่มีปัญหาไม่มาก อาจทำให้เห็นผลชัดเจนกว่า และในช่วงแรก ให้ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ เมื่อผิวเริ่มดีแล้วก็สามารถเว้นระยะการทำได้ตามความเหมาะสม
ทำโฟโน (Phono) ต่างจากการทำ ไอออนโต (Ionto) อย่างไร?
ไอออนโต (Ionto) หรือ ไออนโตโฟเรซิส (Iontophoresis) เป็นเครื่องมือที่มีวัตถุประสงค์และหลักการทำงานคล้ายกับโฟโน (Phono) คือ ใช้เครื่องเพื่อนำพาตัวยาหรือวิตามินเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพียงแต่มีตัวกลางในการผลักยาที่แตกต่างกัน
เครื่องไอออนโต จะใช้วิธีการส่งผ่านประจุ หรือไอออนของตัวยาที่สามารถแตกตัวได้ เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังโดยการใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณต่ำเพื่อส่งแรงสั่นสะเทือนไปที่ผิว ช่วยให้รูขุมขนบนผิวหนังกว้างขึ้น ทำให้ตัวยาซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ การทำโฟโน (Phono) และ การทำไอออนโต (Ionto) เป็นการให้ความร้อนกับเนื้อเยื่อซึ่งอยู่ในชั้นลึก กล้ามเนื้อกระดูก เส้นเอ็น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย จึงต้องทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น
ทำโฟโน (Phono) เจ็บไหม?
ทำโฟโน (Phono) ไม่เจ็บ แต่จะรู้สึกเหมือนการนวดหน้า อาจจะอุ่นเล็กน้อยที่ผิว ทำให้รู้สึกสบายขณะทำ ซึ่งการผลักวิตามินขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่นเสียง ไม่เกี่ยวกับความร้อน บางคนทำอาจไม่รู้สึกร้อนเลยขึ้นอยู่กับการปรับระดับพลังงาน แต่ไม่ได้ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการผลักวิตามิน
การผลักวิตามินด้วยคลื่นเสียง Phono นั้นมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง จึงถือเป็นทางเลือกในการบำรุงผิวที่ได้รับความนิยม เพราะได้ผลดีกว่าการทาครีมทั่วไป ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง ยกกระชับขึ้น รวมไปถึงช่วยลดสิวและผดผื่นต่างๆ ทั้งนี้ ควรทำโฟโนกับแพทย์ที่มีความชำนาญในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ