“กระดูกพรุน” โรคที่ควรระวัง เพราะไม่ว่าใครก็เป็นได้
หลายคนเข้าใจว่า “โรคกระดูกพรุน” เป็นโรคที่เกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ที่จริงแล้ว โรคกระดูกพรุนเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการสูญเสียมวลกระดูก ทำให้กระดูกเสียคุณสมบัติในการรับน้ำหนัก กระดูกจึงเปราะและแตกหักง่าย
โรคกระดูกพรุนกับผลกระทบที่รุนแรง
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ โรคที่ร่างกายมีความหนาแน่นและมวลของกระดูกลดน้อยลงจนทำให้กระดูกเสื่อม เปราะบาง ผิดรูป และมีโอกาสแตกหักได้ง่าย ถ้าเกิดในส่วนกระดูกสันหลังจะทำให้ส่วนสูงลดลงด้วย
นอกจากนี้ สิ่งที่น่ากังวลใจ คือผลจากโรคกระดูกพรุน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงการเกิดกระดูกหัก เนื่องจากกระดูกสามารถรับน้ำหนัก แรงกระแทก หรือแรงกดได้ลดลง โดยกระดูกที่มักพบการหักได้บ่อย คือ สะโพก ข้อมือ และสันหลัง โดยเฉพาะส่วนกระดูกสันหลังที่หากเกิดการแตกหักอาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นพิการได้ เนื่องจากบริเวณนี้จะเป็นศูนย์กลางเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว
อาการโรคกระดูกพรุน…ต้องสังเกตถึงรู้
มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคกระดูกพรุน เนื่องจากโรคนี้มักไม่มีอาการเตือนใดๆ กว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นโรคกระดูกพรุนก็ต่อเมื่อเกิดอุบัติเหตุและนำไปสู่ภาวะกระดูกหักเสียแล้ว ฉะนั้น เราทุกคนควรหมั่นสังเกตตัวเองว่ามีอาการต่างๆ เหล่านี้หรือไม่ เพื่อจะได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
- มีอาการปวดหลังเรื้อรัง
- หลังค่อมหรือกระดูกสันหลังส่วนบนโค้งลง
- ความสูงลดลง
- กระดูกข้อมือ แขน สะโพก และกระดูกสันหลังแตกหักได้ง่าย แม้ถูกกระแทกแบบไม่รุนแรง
สาเหตุสำคัญของ “โรคกระดูกพรุน”
กระดูกประกอบด้วยเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) และเซลล์สลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกัน “เซลล์สร้างกระดูก” ทำหน้าที่สร้างกระดูกขึ้นมาใหม่จากแคลเซียมและโปรตีนตามกระบวนการการเจริญเติบโตของร่างกาย และช่วยทดแทนกระดูกส่วนที่สึกหรอ ส่วน “เซลล์สลายกระดูก” ทำหน้าที่สลายเนื้อกระดูกเก่า
เมื่อปริมาณแคลเซียมในร่างกายไม่เพียงพอต่อกระบวนการสร้างกระดูก หรืออาจมีความผิดปกติของเซลล์กระดูกที่ทำงานไม่สมดุลกัน จึงทำให้มีการสลายกระดูกมากกว่าการสร้างกระดูกที่ส่งผลให้เป็น “โรคกระดูกพรุน” นั่นเอง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เพิ่มโอกาสเป็น “โรคกระดูกพรุน”
นอกจากความผิดปกติของเซลล์กระดูกแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็น “โรคกระดูกพรุน”
- อายุ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระบวนการเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มช้าลง การทดแทนกระดูกส่วนที่สึกหรอก็ช้าตามไปด้วย มวลกระดูกจะเปราะบางและแตกหักง่ายแม้ว่าจะได้รับการกระทบกระเทือนไม่รุนแรงก็ตาม หากร่างกายขาดแคลเซียมในปริมาณที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน
- เพศ โรคนี้มักเกิดขึ้นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ก็ลดลง ทำให้เนื้อกระดูกลดลงตามไปด้วย ส่วนในเพศชายจะมีความเสี่ยงเกิดโรคกระดูกพรุนเมื่อมีการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) น้อยลง
- กรรมพันธุ์ หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนสูงกว่าคนทั่วไป
- ความผิดปกติในการทำงานของต่อมและอวัยวะต่างๆ เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ไตและตับ
- โรคและการเจ็บป่วย เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคมะเร็งกระดูก
- การบริโภค รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในการสร้างกระดูกและการเจริญเติบโต หรือรับประทานอาหารที่ทำให้แคลเซียมเสียสมดุล เช่น อาหารจำพวกโปรตีนจากเนื้อสัตว์ซึ่งมีความเป็นกรดสูง รวมทั้งการดื่มน้ำอัดลม กาแฟ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำ
- การใช้ยา เช่น ยาสเตียรอยด์ ยากันชักบางชนิด หากจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้เป็นเวลานานควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมาเมื่อเป็นโรคกระดูกพรุน
ภาวะต่างๆ ที่จะมาพร้อมกับคำว่า “โรคกระดูกพรุน” นั้นเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจไม่น้อย เพราะเมื่อผู้ป่วยมีภาวะกระดูกพรุน ย่อมส่งผลให้
- มีโอกาสสูงที่กระดูกจะแตกหักง่าย แม้จะได้รับการกระแทกไม่แรงนัก
- ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวด เคลื่อนไหวลำบาก มีข้อจำกัดมากขึ้นในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้
- ผู้ป่วยที่เดินไม่ได้ หรือขยับตัวลำบาก อาจเกิดแผลกดทับ หรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงจนอาจเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้
การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน… รู้เร็ว รักษาได้
“โรคกระดูกพรุน” เกิดได้กับทุกคน หากพบความผิดปกติเร็ว และเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ไว ผู้ป่วยก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
ซึ่งการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนทำได้โดย “การตรวจทางรังสี” เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการประเมินความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้แพทย์วางแผนการรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มของโรค การตรวจะใช้เวลาไม่นาน ไม่มีความเจ็บปวด และปริมาณรังสีต่ำ
การตรวจจะทำให้เห็นค่าความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density หรือ BMD) โดยความหนาแน่นของกระดูกในคนปกติจะอยู่ที่มากกว่า -1.0 ส่วนคนที่มีภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) จะมีค่า BMD อยู่ระหว่าง -1.0 ถึง -2.5 และผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจะมีค่า BMD น้อยกว่า -2.5
วิธีรักษา “โรคกระดูกพรุน”
มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน” แต่ปัจจัยสำคัญคือการทำงานของเซลล์กระดูกที่ผิดปกติ ฉะนั้นหลักการรักษาจึงต้องกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกและลดการทำงานของเซลล์สลายกระดูก ซึ่งทำได้โดยการรับประทานยา การฉีดยา และการเพิ่มฮอร์โมน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ว่าควรรักษาด้วยวิธีใดในแต่ละราย
การรักษากระดูกพรุนโดยการเพิ่มฮอร์โมน
สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือผู้หญิงที่ผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกไป ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างกระดูกได้ แพทย์จึงต้องเพิ่มฮอร์โมนชนิดนี้ให้
กระดูกพรุน ป้องกันได้
เราทุกคนสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ โดยการดูแลใส่ใจสุขภาพและบำรุงกระดูกด้วยวิธีต่างๆ เช่น
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม เต้าหู้ กุ้งฝอย ปลาตัวเล็ก ถั่วต่างๆ และผักใบเขียว รวมทั้งอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ตับ ไข่แดง นม เนื้อ ปลาทู ฟักทอง และเห็ดหอม เป็นต้น
- งดสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน และมีค่าความเป็นกรดสูง
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- ระมัดระวังการใช้ยา โดยเฉพาะยากลุ่มสเตียรอยด์ที่ต้องใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หากมีความจำเป็นควรปรึกษาแพทย์
แม้ว่าทุกคนมีโอกาสเป็น “โรคกระดูกพรุน” แต่ถ้าเราพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเข้ารับ “การตรวจภาวะกระดูก” อย่างละเอียด ก็เป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคได้ อย่าปล่อยให้ความเจ็บป่วยที่มาพร้อมกับภาวะกระดูกพรุน กระดูกเสื่อม บั่นทอนความสุขในการใช้ชีวิตของคุณเลย… เชื่อเถอะว่าการ “ดูแล” ย่อมดีกว่าการ “รักษา” แน่นอน
นพ. กอบศักดิ์ อุดมเดช
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมโรคกระดูกและข้อ
ศูนย์กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์