ไข้เลือดออกใกล้ตัวกว่าที่คิด เป็นซ้ำอาจรุนแรงกว่าเดิม

พญาไท นวมินทร์

1 นาที

พ. 03/08/2022

แชร์


Loading...
ไข้เลือดออกใกล้ตัวกว่าที่คิด เป็นซ้ำอาจรุนแรงกว่าเดิม

สาเหตุของไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกเกิดจากการถูกยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคนี้กัด ซึ่งหากยุงได้กัดและดูดเลือดผู้ที่มีเชื้อมาก่อน และไปกัดคนอื่นต่อ ก็จะแพร่เชื้อนี้ไปได้เรื่อยๆ
ยุงลายที่นำโรคมี 2 ชนิด ชนิดแรกคือ ยุงลายบ้าน มีแหล่งเพาะพันธุ์เป็นน้ำนิ่ง น้ำขังในบริเวณบ้าน เช่น แอ่งน้ำ ที่รองขาตู้กับข้าว แจกันดอกไม้ โอ่งที่ไม่ได้ปิดฝา ภาชนะต่างๆ ยางรถยนต์ที่วางทิ้งไว้และมีน้ำขังเมื่อฝนตก ชนิดที่สองคือยุงลายสวน มีแหล่งเพาะพันธุ์ในสวน ตามต้นไม้ แอ่งน้ำ ตอไม้ที่มีน้ำฝนขัง
ในทางระบาดวิทยา พบว่าแหล่งน้ำขังที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายพบมากในบริเวณที่พักอาศัยของคน รวมถึงวัด และโรงเรียน

ไข้เลือดออกเป็นโรคประจำถิ่นที่เป็นปัญหาด้านสาธารณสุขมายาวนาน

ในแต่ละปี ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไข้เลือดออกหลายหมื่นราย บางปีพบมากกว่าแสนราย ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน ภูมิภาคที่พบบ่อยคือภาคใต้และภาคกลาง และในกรุงเทพฯ ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณฝนและความหนาแน่นของประชากร ช่วงที่พบบ่อยคือช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนกันยายน

อาการของโรค

เราควรสงสัยถึงการติดเชื้อไข้เลือดออกเมื่อมีอาการไข้สูงแบบเฉียบพลัน ปวดเมื่อยตามตัวมาก โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณหลังในช่วง 1-3 วันแรก เบื่ออาหาร อาการคล้ายการติดเชื้อไวรัสทั่วๆไป แต่มัก “ไม่พบ” อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม เจ็บคอ มีน้ำมูก

การตรวจวินิจฉัย

อาการในช่วง 1-3 วันแรกแยกได้ยากจากการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น การตรวจเลือดไม่พบความผิดปกติชัดเจน แพทย์อาจทำการตรวจดูภาวะเลือดออกง่าย โดยใช้เครื่องวัดความดันรัดที่ต้นแขน เพื่อดูว่ามีจุดเลือดออกให้เห็นหรือไม่ ปัจจุบันการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการมีความก้าวหน้า สามารถตรวจพบการติดเชื้อไข้เลือดออกจากการตรวจเลือด ทราบผลได้ภายในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ความรุนแรงของโรค

ไข้เลือดออกในเด็กส่วนใหญ่มีความรุนแรงไม่มาก อาจมีอาการไข้ไม่กี่วันและหายเองได้
ในผู้ใหญ่อาจพบอาการรุนแรง โดยมีอาการที่เป็นสัญญาณบ่งชี้คือ มีอาการปวดท้อง อาเจียน กินไม่ได้ อ่อนเพลียมาก ซึมลง มีเลือดออกตามที่ต่างๆ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดา จุดเลือดออกตามตัว
ความรุนแรงของโรค เกิดจากเชื้อไวรัสทำให้มีการทำลายของเกล็ดเลือดซึ่งมีหน้าที่ในการหยุดเลือดออก ทำให้มีเลือดออกได้ง่าย อาจพบจ้ำเลือดตามตัว เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดา เลือดออกทางเดินอาหาร เลือดออกในสมอง

นอกจากนี้ไวรัสยังทำให้มีการรั่วซึมของสารน้ำออกนอกหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ลดลง เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ ซึมลง ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ ซึ่งถือว่าเป็นไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรง ต้องเข้ารับการรักษาทันที

การเป็นซ้ำและความรุนแรงของโรค

ไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ เมื่อติดเชื้อแล้วร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้น แต่สามารถที่จะติดสายพันธุ์อื่นได้ การติดเชื้อซ้ำในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นอยู่แล้วจะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยารุนแรง อาการของการติดเชื้อซ้ำจึงมีความรุนแรงกว่าเดิม

เชื้อไวรัสไข้เลือดออกสามารถเกิดอาการได้หลายระบบของร่างกาย อันตรายที่เกิดจากไวรัสไข้เลือดออกเกิดได้จากตัวไวรัสไปทำให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะนั้นโดยตรง และเกิดจากการรั่วของสารน้ำในร่างกายเป็นปริมาณมาก นอกจากทำให้ความดันโลหิตต่ำแล้ว ยังส่งผลให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ เสียไปจากการมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ ความรุนแรงของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออก ตัวอย่างเช่น

  • ติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง
  • เลือดออกในอวัยวะต่างๆ เช่น ทางเดินอาหาร ในสมอง
  • ภาวะช็อกจากการที่เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ไม่พอ
  • การหายใจล้มเหลวจากสารน้ำที่รั่วไปท่วมที่ปอด
  • ตับวายจากตัวไวรัสเอง และจากการที่เลือดไปเลี้ยงไม่พอ

การรักษา

  • การติดเชื้อไข้เลือดออกส่วนใหญ่หายได้เอง การพักผ่อนที่เพียงพอเป็นสิ่งที่จำเป็น
  • พยายามใช้ยาให้น้อย ยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะไม่มีผลต่อการรักษา
  • หากมีอาการรุนแรง เช่น ซึมลง หอบเหนื่อย อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด ปวดท้องมาก ให้รีบไปโรงพยาบาลทันที

ข้อควรระวัง

  • ยาแก้ปวดจำพวกแอสไพรินและ NSAID เช่น ibuprofen รวมถึงยาชุด ห้ามใช้ในการรักษาไข้เลือดออก
  • ควรใช้ยาพาราเซตามอลเท่าที่จำเป็น เช่น มีไข้สูงหรือปวดมาก เพราะยาพาราเซตามอลอาจทำให้เกิดตับอักเสบ โดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาเรื่องตับอยู่แล้ว

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกได้รับการรับรองการใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศในเขตร้อนและมีการแพร่ระบาดของไข้เลือดออกมากในแต่ละปี วัคซีนสามารถป้องกันการเกิดไข้เลือดออกได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ประสิทธิภาพของวัคซีนสามารถป้องกันการเกิดไข้เลือดออกได้ร้อยละ 65.6 สามารถลดความรุนแรงของโรคได้ร้อยละ 93.2 และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ร้อยละ 80.8

วัคซีนนี้ใช้ในผู้ที่มีอายุ 9-45 ปี โดยจะได้ผลดีในผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อนแล้ว เพราะการติดเชื้อซ้ำจะมีอาการรุนแรงกว่าการติดเชื้อครั้งแรก

จากสถิติของสำนักระบาดวิทยา พบกลุ่มผู้ติดเชื้อสูงสุดคือกลุ่มเด็กวัยเรียน อายุ 10-14 ปี รองลงมาได้แก่กลุ่มอายุ 5-9 ปี ในประเทศไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ผู้ที่อายุมากกว่า 15 ปีส่วนใหญ่เคยติดเชื้อมาแล้ว โดยที่อาจไม่มีอาการ หรืออาการน้อยมาก การฉีดวัคซีนจึงแนะนำในกลุ่มอายุมากกว่า 15 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติเคยติดเชื้อมาก่อน

 

นพ. พัทธยา เรียงจันทร์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ
ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์


แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ



Loading...
Loading...