ไม่รู้เพราะอะไร แต่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากทำอะไร รู้สึกว่าชีวิตแย่ โลกนี้ไม่น่าอยู่… หากคุณกำลังมีความคิดแบบนี้ คุณอาจกำลังตกอยู่ในภาวะ “โรคซึมเศร้า”
ทุกวันนี้เราแทบไม่รู้เลยว่าคนที่เดินสวนกัน คนที่นั่งทำงานด้วยกัน หรือแม้กระทั่งคนที่อยู่บ้านเดียวกัน…เป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ เพราะถ้าเราไม่สังเกตหรือใส่ใจคนคนนั้นมากพอ เราจะไม่เห็นถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเขา หรือที่น่ากังวลไปกว่านั้นนั่นคือ คุณเองก็อาจไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็น “โรคซึมเศร้า” อยู่หรือไม่
อาการนี้ที่เราเป็น…เรียก “โรคซึมเศร้า” หรือไม่?
ทุกคนควรหมั่นสังเกตตัวเองและคนใกล้ชิดว่ามีพฤติกรรมใดบ่งชี้ว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ โดยเริ่มจากสังเกต “ภาวะอารมณ์หรือความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ” โดยสามารถสำรวจง่ายๆ ตาม 9 ข้อนี้
- มักมีอารมณ์เชิงลบ มีอารมณ์เศร้า ท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวังอย่างต่อเนื่อง ร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุ มีความกังวลหรือหงุดหงิดมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานและความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง
- เบื่อหน่ายสิ่งรอบตัว เก็บตัว ไม่อยากพบไม่อยากคุยกับใคร เลิกสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบทำ
- พฤติกรรมการกินผิดปกติ เบื่ออาหารหรืออยากอาหารมากขึ้น กินน้อยไป กินมากไปทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงผิดปกติ
- มีปัญหาในการนอน นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท หรือนอนมากจนเกินไป
- กระวนกระวายหรือเฉื่อยชา มีอาการกระสับกระส่าย กระวนกระวายมากเกินไป หรือมีอาการตรงกันข้าม คือ เฉื่อยชา เคลื่อนไหวช้าลง
- อ่อนเพลียง่าย มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรทั้งสิ้น
- สมาธิสั้น ความจำแย่ลง สมาธิในการทำสิ่งต่างๆ และความสามารถในการคิดและการตัดสินใจลดลง
- สูญเสียความมั่นใจ รู้สึกตนเองไร้ค่า คิดว่าตนเองเป็นภาระ สูญเสียความมั่นใจในตนเอง รู้สึกผิดและโทษตนเองอยู่ตลอดเวลาในทุกๆ เรื่อง
- ไม่อยากมีชีวิตอยู่ คิดเรื่องความตายหรือการฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งข้อสำรวจนี้เป็นเกณฑ์ที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคซึมเศร้า หากพบว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดนั้น…
-
- มีอาการอย่างน้อย 5 อาการขึ้นไป
- มีอาการในข้อ 1 หรือข้อ 2 ร่วมด้วยอย่างน้อย 1 ข้อ
- มีอาการตลอดทั้งวัน
- เป็นแทบทุกวัน ต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์
ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด และหาแนวทางแก้ไขหรือรักษาต่อไป เพราะอาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้
เตรียมรับมือ “โรคซึมเศร้า” หากตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการน่าสงสัย
เราต้องหมั่นให้เวลาในการสังเกต “ร่างกาย” และ “จิตใจ” ทั้งของตัวเองและคนใกล้ชิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือมีอะไรที่ผิดปกติบ้างหรือไม่ เพราะ “โรคซึมเศร้า” ยิ่งเรารู้จักมันมากเท่าไหร่ เรายิ่งรับมือกับมันได้ดีมากขึ้นเท่านั้น
- หากยังมีอาการไม่มาก ควรหาความรู้และคำแนะนำที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าจากแพทย์เฉพาะทาง เพราะจะได้เรียนรู้วิธีการประคับประคองและจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม
- หมั่นออกกำลังกาย หรือหากิจกรรมทำร่วมกับเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัว จะทำให้ร่างกายสดชื่น มีพลังที่ดี จะช่วยให้อาการไม่แย่ลง
- การหากิจกรรมทำเพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย ไม่คิดถึงแต่เรื่องในอดีตที่ทำให้เครียด พยายามให้ผู้ป่วยมีสติอยู่กับปัจจุบัน จะช่วยให้อาการป่วยทางใจค่อยๆ บรรเทาลงได้มาก
- คนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัว ควรทำความเข้าใจเรื่องของโรคซึมเศร้าให้มาก เพื่อจะได้เข้าใจและรับมือกับผู้ป่วยอย่างถูกวิธี พร้อมกับเฝ้าระวังและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด สำคัญที่สุดคือการลดปัจจัยกระตุ้นอาการซึมเศร้าต่างๆ เช่น คำพูดที่อาจกระทบกระเทือนจิตใจ การทะเลาะกัน ทำให้บรรยากาศตึงเครียด และควรงดดูสื่อต่างๆ ที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์ เป็นต้น
- หากมีอาการจากโรคซึมเศร้าชัดเจนมากขึ้นควรไปพบจิตแพทย์ เพื่อช่วยประเมินและเข้ารับการรักษาบำบัดอย่างถูกต้องและเหมาะสม
- หากมีอาการโรคซึมเศร้าในขั้นรุนแรง ทำร้ายตัวเอง หรือเสี่ยงต่อผู้อื่นจะได้รับอันตราย ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลทันที
“โรคซึมเศร้า” รักษาหายได้ แค่เข้าใจโรค
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่มีโอกาสรักษาให้หายได้ เพียงต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม เริ่มจากการสอบถามอาการ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ระดับความรุนแรง โรคประจำตัว ยาที่รับประทานเป็นประจำ ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวัน จากนั้นแพทย์เฉพาะทางจะเป็นผู้ประเมินว่าควรรักษาแบบใด ถ้าหากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการบ่งชี้ว่าอาจเป็นโรคซึมเศร้าควรรีบมาพบแพทย์ทันที
การพูดคุยกัน การถามไถ่กันด้วยความห่วงใยเป็นสิ่งที่ดีที่ควรมอบให้กันและกันอย่างสม่ำเสมอ เพราะเราไม่รู้เลยว่าใครบ้างที่กำลังขาดกำลังใจ ใครบ้างที่กำลังหดหู่กับชีวิต หรือใครบ้างที่กำลังตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ฉะนั้นเราต้องสังเกตและเฝ้าระวังความผิดปกติให้ดี ที่สำคัญต้องหมั่นดูแล “ใจ” ของตัวเอง และคนที่คุณรักให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วย