สถานการณ์รอบตัว ไม่ว่าจะดีหรือร้ายย่อมมีผลต่อความรู้สึกของคนที่พบเจอเสมอ บางคำพูด บางการกระทำ หรือบางเหตุการณ์อาจทำร้าย “จิตใจ” ของใครบางคนหรือตัวเราเอง โดยที่เราเองก็อาจไม่รู้ตัว
คนจำนวนมากมักไม่รู้ว่า กำลังมีคนใกล้ชิดเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ และมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะโรคซึมเศร้านั้นจะส่งผลร้ายในระยะยาวได้อย่างมหาศาล
โรคซึมเศร้า คืออะไร?
โรคซึมเศร้า เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง เกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง 3 ชนิด คือ ซีโรโตนิน นอร์เอปิเนฟริน และโดปามีน ส่งผลให้เกิดความผิดปกติทั้งทางด้านอารมณ์ และทางด้านความคิด ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไปจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ใครก็ตามที่มีอาการหรือเป็นโรคนี้จึงควรเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมเหมือนการเป็นโรคอื่นๆ
สาเหตุและปัจจัยกระตุ้น “โรคซึมเศร้า”
นอกจากสารเคมีในสมองที่มีความสัมพันธ์ต่อภาวะทางอารมณ์แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคซึมเศร้าได้เช่นกัน
- สาเหตุทางพันธุกรรม
หากใครมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคที่มีความผิดปกติทางอารมณ์ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าคนทั่วไป แต่ใช่ว่าทุกคนจะต้องเป็นโรคซึมเศร้า เพราะยังมีปัจจัยของสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆ รอบตัว รวมถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตของแต่ละคนด้วย - ความเจ็บป่วยทางร่างกาย
นอกจากร่างกายที่จะต้องทนต่อความเจ็บป่วยแล้ว ผู้ป่วยย่อมความเครียดและความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะความเจ็บป่วยนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรุนแรงของโรค หรือวิธีการรักษา และยิ่งหากเป็นความเจ็บป่วยที่มีภาวะเรื้อรังยิ่งมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น ฉะนั้นหากคนที่ใกล้ชิดป่วยเป็นโรคเรื้อรังควรดูแลและใส่ใจสภาพจิตใจของผู้ป่วยให้มาก เหมือนกับการดูแลร่างกายเลยทีเดียว - เพศและฮอร์โมน
พบว่า “ผู้หญิง” มีแนวโน้มที่จะเป็นภาวะซึมเศร้าได้มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงที่มีความแปรปรวนหรือความผิดปกติของฮอร์โมนก็สามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น ช่วงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดบุตร ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน หรือบางคนในช่วงก่อนมีประจำเดือนอาจมีภาวะผิดปกติทางจิตใจ หากรุนแรงก็อาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ - เหตุการณ์ในชีวิต
หลายๆ เรื่องราวทั้งดีและไม่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิต อาจมีบางเรื่องที่ไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก การหย่าร้าง ความเครียดเรื่องสภาพการเงิน รวมถึงความเครียดเรื่องงาน แม้กระทั่งเหตุการณ์ดีๆ ที่ผู้ป่วยมีความสุขมากๆ ที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างรวดเร็วก็อาจเกิดภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน - การพักผ่อน
การพักผ่อนไม่เพียงพอหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนแบบเรื้อรัง อาจเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วย - ฤดูกาล
ในฤดูหนาวจะมีช่วงเวลากลางคืนยาวกว่าเวลากลางวัน หลายคนมักมีอารมณ์ดิ่งลงในช่วงนี้ รู้สึกเซื่องซึม เหนื่อยล้า ไม่มีความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิตประจำวัน เราเรียกภาวะนี้ว่า โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (seasonal affective disorder) หรือย่อสั้นๆ ว่า “SAD” แต่อาการจะดีขึ้นเมื่อช่วงเวลานั้นผ่านไป
- ปัจจัยอื่นๆ
ยังมีอีกหลายปัจจัยที่สามารถกระตุ้นทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้- การไม่ชอบพบปะผู้คน ชอบแยกตัวออกจากสังคม
- การถูกทอดทิ้ง หรือถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก
- ไม่เคารพในตัวเอง
- ดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สารเสพติดบางชนิดเป็นประจำ เช่น ยานอนหลับ
“โรคซึมเศร้า” รักษาหายได้ แค่เข้าใจโรค
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่มีโอกาสรักษาให้หายได้ เพียงต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ต้องมีการสอบถามอาการ ผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อประเมินระดับความรุนแรง สำรวจโรคประจำตัว ยาที่รับประทานเป็นประจำ ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวัน จากนั้นแพทย์เฉพาะทางจะเป็นผู้ประเมินว่าควรรักษาแบบใด ดังนั้นถ้าหากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการบ่งชี้ว่าอาจเป็นโรคซึมเศร้าควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะการได้รับการรักษาเร็วจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการหายได้เร็วและดีกว่า
- การรักษาด้วยจิตบำบัด (psychotherapy)
ผู้ป่วยบางรายสามารถรักษาได้โดยวิธีการทำจิตบำบัด หรือบางรายรักษาด้วยยาแต่ก็ต้องใช้จิตบำบัดควบคู่ไปด้วย ซึ่งการทำจิตบำบัดนั้นมีหลายวิธี เช่น
-
- การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (cognitive-behavioral therapy; CBT)
- การบำบัดแบบประคับประคอง (supportive psychotherapy)
- จิตบำบัดสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (interpersonal therapy;IPT) เป็นต้น
ทั้งนี้ต้องเลือกวิธีบำบัดตามความเหมาะสมของผู้ป่วย ซึ่งมีการศึกษาพบว่าการรักษาด้วยยาควบคู่ไปกับการทำจิตบำบัดเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด
- การรักษาด้วยยา (pharmacological treatment)
ใช้ยารักษาอาการซึมเศร้า เพื่อช่วยปรับสารสื่อประสาทในสมองให้กลับสู่สมดุล ส่วนระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค อาจรักษาด้วยจิตบำบัดควบคู่ไปด้วย สิ่งสำคัญของการรักษาด้วยยาคือห้ามหยุดยาเองเด็ดขาด ต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์เท่านั้น เพราะมีรายงานพบว่า หากหยุดยาก่อนกำหนดผู้ป่วยมักจะมีอาการกำเริบได้มากถึงร้อยละ 80 - การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
-
- การรักษาด้วยอุปกรณ์ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (transcranial magnetic stimulation; TMS)
เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือมีข้อห้ามในการให้ยารักษา เป็นการรักษาโดยใช้อุปกรณ์ที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านหนังศีรษะ เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์สมอง - การรักษาด้วยไฟฟ้า (electroconvulsive therapy)
- การรักษาด้วยอุปกรณ์ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (transcranial magnetic stimulation; TMS)
เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา หรือมีอาการรุนแรงมากเฉียบพลัน รวมถึง ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง
ในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไป…เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครพบเจออะไรมาบ้าง ฉะนั้นเราควรถนอมน้ำใจของคนรอบข้างอยู่เสมอ เพราะบางเรื่อง…บางคำพูดอาจกระทบจิตใจใครจนเกิดแผลโดยที่เราไม่รู้ตัว
…อย่าปล่อยให้ “โรคซึมเศร้า” กัดกร่อนความสุขของคนที่คุณรักและตัวคุณเอง…