ไหนใครไม่อยากมีลูก (เพิ่ม) แต่ยังสับสนกับการคุมกำเนิดว่าจะเลือกวิธีไหนดี แต่ละวิธีมีข้อดี-ข้อเสียต่างกันอย่างไร แล้วจริงหรือไม่? ที่คุมกำเนิดแล้วก็ยังมีโอกาสมีลูกได้! มาอัปเดตวิธี “คุมกำเนิด” กันแบบละเอียด ฉบับคัมภีร์คนไม่อยากมีลูกกันดีกว่า
ประเภทแรกคือ การคุมกำเนิดแบบ “ชั่วคราว” เหมาะสำหรับคนที่มีโอกาสเปลี่ยนใจ คือยังไม่อยากมีตอนนี้ แต่ก็มีแพลนที่จะมีเบบี๋ในอนาคตอยู่นะ ซึ่งก็จะมีอยู่ด้วยกัน 7 วิธี ได้แก่
คุมกำเนิดด้วย “ถุงยางอนามัย”
วิธีการยอดนิยมที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เป็นวิธีการที่สะดวก เรียบง่าย คุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดีถ้าใช้อย่างถูกวิธี โดยถุงยางอนามัยจะช่วยป้องกันไม่ให้อสุจิสามารถเข้าไปผสมกับไข่ได้ แต่อาจทำให้เกิดความระคายเคืองในผู้หญิงบางคนได้
คุมกำเนิดด้วย “ยาคุมกำเนิดแบบเม็ด”
ซึ่งเป็นออกเป็น 3 ชนิดหลักๆ คือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ซึ่งต้องทานเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และทานอีก 1 เม็ดหลังจากทานเม็ดแรกครบ 12 ชั่วโมง จึงจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด แต่ยาคุมชนิดนี้มีปริมาณฮอร์โมนที่สูงกว่ายาคุมกำเนิดทั่วไป 2 เท่า จึงไม่แนะนำให้ใช้ต่อเนื่อง อีกชนิดคือ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งจะมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว และ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม คือมีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนรวมกันในเม็ดเดียว โดยยาคุมชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงมาก และเป็นชนิดที่เป็นที่นิยมมากเช่นเดียวกัน
หลักการสำคัญ คือ ยาคุมกำเนิดจะเข้าไปทำให้สภาวะมดลูกไม่เหมาะสมกับการตั้งครรภ์ ทำให้เมือกบริเวณปากมดลูกมีความเหนียวข้นมากขึ้น เพื่อให้อสุจิไม่สามารถเข้ามาผสมกับไข่ได้นั่นเอง แต่มี 1 ข้อแม้ คือ ต้องทานอย่างต่อเนื่อง การลืมทานเพียง 1 วันก็มีโอกาสจะทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้
คุมกำเนิดด้วย “ยาคุมกำเนิดแบบฉีด”
เป็นอีกวิธีคุมกำเนิดที่ได้ผลดี สามารถฉีดได้ตั้งแต่หลังคลอด โดยจะเป็นการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ ฉีด 1 ครั้งสามารถคุมกำเนิดได้นาน 1-3 เดือน แล้วแต่ชนิดของยา หลักการทำงานของยาก็จะคล้ายกับยาคุมกำเนิดแบบเม็ด คือ ยับยั้งการตกไข่ ทำให้สภาวะมดลูกไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของตัวอ่อน และทำให้เมือกบริเวณปากมดลูกมีความเหนียวข้นมากขึ้น อสุจิจึงผ่านเข้าไปเจอกับไข่ได้ยากขึ้น แต่การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้มีข้อเสียคือ ทำให้ประจำเดือนมากะปริบกะปรอยในระยะแรก จากนั้นประจำเดือนจะหยุดไป และแม้หยุดใช้ยาแล้ว ก็ไม่สามารถวางแผนมีลูกได้ในทันที อาจต้องใช้ระยะเวลา 6 เดือน – 1 ปี จึงจะกลับมาตกไข่และมีประจำเดือนตามปกติ จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการคุมกำเนิดในระยะสั้น
คุมกำเนิดด้วย “ยาคุมกำเนิดแบบฝัง”
ฝังยาคุมกำเนิด ก็สามารถทำได้ในคุณแม่หลังคลอดเช่นเดียวกัน เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทารกและน้ำนม โดยแพทย์จะทำการฝังหลอดพลาสติกเล็กๆ ที่บรรจุฮอร์โมน ไว้ใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขนด้านใน ขนาดยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ฝังครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี กลไกลการทำงานของยาก็เช่นเดียวกับแบบฉีด แต่แตกต่างตรงที่สามารถมีลูกได้เร็วกว่าการคุมกำเนิดแบบฉีด หลังนำหลอดฮอร์โมนที่ฝังไว้ออก การตกไข่และรอบเดือนจะกลับมาเป็นปกติในระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ และหากต้องมีการใช้ยาปฏิชีวนะในช่วงที่มีการฝังยาคุมควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลงได้
คุมกำเนิดด้วย “แผ่นแปะคุมกำเนิด”
ก็คือการนำยาฮอร์โมนมาทำในลักษณะแผ่นแปะภายนอก เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็ม กลัวเจ็บ และก็ไม่อยากทานยาคุม โดยประสิทธิภาพของแผ่นแปะคุมกำเนิดก็เทียบเท่ากับยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด แผ่นแปะจะมีลักษณะเป็นแผ่น บาง ยืดหยุ่น นำมาแปะที่บริเวณสะโพก หน้าท้อง แผ่นหลังช่วงบน หรือต้นแขนด้านนอก จากนั้นฮอร์โมนจะถูกซึมผ่านผิวหนังแล้วเข้าไปตามกระแสเลือดเพื่อคุมกำเนิด ข้อเสียคือ ต้องเปลี่ยนแผ่นแปะทุก 1 สัปดาห์ และเมื่อใช้ครบ 3 สัปดาห์ต้องหยุดแปะ เพื่อให้ประจำเดือนมา แต่ก็เป็นวิธีคุมกำเนิดระยะสั้นที่ได้ผลดี และหากต้องการมีบุตร ก็สามารถมีได้ใน 1-2 รอบเดือนหลังหยุดใช้ยา
คุมกำเนิดด้วย “วงแหวนคุมกำเนิด”
วงแหวนคุมกำเนิด จะมีลักษณะเป็นพลาสติกสีขาวใส อ่อนนุ่ม ยืดหยุ่นง่าย โดยวงแหวนจะมีการบรรจุฮอร์โมน 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนโปรเจสโตรเจน และฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงออกฤทธิ์ในการคุมกำเนิดเช่นเดียวกับยาคุมชนิดเม็ด แต่วงแหวนคุมกำเนิดจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด 21 วัน หรือ 3 สัปดาห์ เมื่อครบ 21 วันต้องถอดออก และเว้นการใส่เพื่อให้ประจำเดือนมาแล้วค่อบกลับมาใส่ใหม่ เช่นเดียวกับการใช้แผ่นแปะ ข้อดีคือสามารถใส่ได้ด้วยตนเอง โดยการดันวงแหวนคุมกำเนิดเข้าไปในช่องคลอดจนสุด หากใส่ถูกวิธีจะไม่รู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ภายใน แนะนำให้คุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่นร่วมด้วยภายใน 7 วันแรกหลังการใส่วงแหวน เพื่อให้การคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพสูงสุด
คุมกำเนิดด้วย “การใส่ห่วงอนามัย”
เป็นวิธีที่เหมาะมากกับคนที่ไม่ต้องการคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาฮอร์โมน ห่วงคุมกำเนิดจะมีลักษณะคล้ายตัว T ขนาดเล็ก ที่จะถูกใส่ไว้ในโพรงมดลูก เพื่อขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อนในโพรงมดลูก โดยจะมีสายห่วงออกมาจากปากมดลูกยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร เป็นวิธีคุมกำเนิดที่ไม่ทำให้ประจำเดือนผิดปกติ ไม่ส่งผลต่อฮอร์โมน ไม่คลื่นไส้อาเจียน ไม่มีผลต่อน้ำหนักตัว อายุการใช้งานนาน 3-5 ปี แต่ข้อเสียก็คือ ต้องหมั่นตรวจเช็กสายห่วงอย่างสม่ำเสมอ คุณแม่หลังคลอดก็สามารถเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยการใส่ห่วงอนามัยได้ แต่แนะนำให้ใส่ในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังคลอด เพื่อป้องกันการหลุด
แต่สำหรับใครที่มั่นใจแล้วว่าไม่อยากมีลูกเพิ่ม ต้องการ คุมกำเนิดแบบ “ถาวร” วิธีการที่ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้น “การทำหมัน” ซึ่งหลายวิธีคุมกำเนิดข้างต้นที่กล่าวมาเกือบทั้งหมดจะเป็นการคุมกำเนิดโดยคุณผู้หญิง แต่วิธีการนี้คุณผู้ชายก็ทำได้!
การทำหมันชาย
ทำง่าย ปลอดภัย ใช้เวลาไม่นาน และไม่ต้องนอนโรงพยาบาล… โดยการทำหมันชาย คุณหมอจะทำการผูก หรือตัดท่ออสุจิ เพื่อให้อสุจิที่ถูกสร้างขึ้นไม่สามารถเดินทางออกไปได้ การทำหมันจะไม่ทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง ยังคงสามารถหลั่งน้ำอสุจิได้ตามปกติ เพียงแต่จะไม่มีตัวอสุจิอยู่ แต่แนะนำว่าควรคุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่นร่วมด้วยอย่างน้อย 3 เดือนหลังการผ่าตัด เนื่องจากอาจมีอสุจิหลงเหลืออยู่ หากครบ 3 เดือนพบคุณหมอเพื่อตรวจนับจำนวนอสุจิแล้วก็ไม่ต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่นอีก
การทำหมันหญิง
ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลักๆ นั่นก็คือ
- การทำหมันเปียก หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การทำหมันหลังคลอดนั่นเอง ยิ่งหากเป็นการผ่าคลอด ยิ่งสามารถทำหมันได้ทันที แต่หากเป็นการคลอดธรรมชาติ หรือคลอดผ่านทางช่องคลอด ถ้าคุณแม่ฟื้นตัวได้ดี ก็สามารถทำหมันได้ทันทีหลังคลอดไปแล้ว 24-48 ชั่วโมง การทำหมันแบบเปียกจะทำได้ง่ายกว่า เนื่องจากมดลูกยังลอยตัวอยู่ในช่องท้อง ยังไม่หดกลับเข้าไปในอุ้งเชิงกราน จึงสามารถหาท่อนำไข่ได้ง่ายกว่า วิธีการก็คือดมยาสลบแล้ว ลงแผลผ่าตัดใต้สะดือ ขนาดแผลยาวประมาณ 2-5 เซนติเมตร เพื่อเข้าไปผูกท่อนำไข่ทั้งสองข้าง และตัดท่อนำไข่บางส่วนออก เพื่อให้ไข่ไม่สามารถไปยังโพรงมดลูกเพื่อการปฏิสนธิได้
- การทำหมันแห้ง วิธีการเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ช่วงเวลา การทำหมันแห้งก็คือการทำหมันในช่วงเวลาปกติ ที่มดลูกอยู่ในอุ้งเชิงกราน ซึ่งจะทำให้การหาท่อนำไข่ยากกว่า จะสามารถเลือกทำได้ 2 รูปแบบ คือ “การผ่าตัดเปิด” โดยจะเป็นผ่าตัดบริเวณหัวหน่าว และ “การผ่าตัดส่องกล้อง” ซึ่งจะเจ็บน้อยกว่า แผลเล็กกว่า แต่ต้องมีการเพิ่มลมเข้าไปในช่องท้องระหว่างการผ่าตัด จึงไม่สามารถทำได้ในผู้ป่วยโรคหัวใจหรือมีระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ โดยการทำหมันแห้งจะนิยมช่วงหลังมีรอบเดือน เพื่อยืนยันว่าไม่ได้มีการตั้งครรภ์ และจะต้องผ่านการตรวจสุขภาพจึงจะสามารถทำได้