ป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดรอยแผลว่ายากแล้ว แต่เมื่อเป็นแผลแล้วจะทำยังไงไม่ให้เป็น “แผลเป็น” ยากยิ่งกว่า แผลในร่มผ้าก็ยังพอทำใจ ถ้าเกิดรอยแผลเด่นชัดทำเอาผิวสวยๆ ต้องมีตำหนิแบบนี้ ก็ทำเอาขาดความมั่นใจไม่ใช่เล่น แต่… ไม่ต้องมัวนั่งกลุ้มใจ มาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีดีๆ ที่จะช่วยให้คุณไม่พ่ายแพ้ให้กับรอยแผลอีกต่อไป
แผลเป็น ทำไมต้องเป็นทุกครั้งที่เกิดแผล
แผลเป็น คือร่องรอยจากการรักษาแผลตามธรรมชาติของร่างกาย เมื่อเกิดแผลขึ้นบนผิวหนังไม่ว่าจะบริเวณใด ร่างกายของเราจะผลิตโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “คอลลาเจน” ขึ้นมาเพื่อเสริมสร้างเนื้อเยื่อทดแทนบริเวณที่เกิดรอยแผล ทำให้แผลปิดสนิท ในกรณีที่แผลปิดสนิทดีตามกระบวนการหายของแผล การปล่อยให้แผลแห้ง ตกสะเก็ด ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น แต่อาจจะเป็นเพียงรอยด่างขาว รอยแดง ซึ่งจะค่อยจางลงได้เองหรือสามารถรักษาเบื้องต้นได้ด้วยผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดผลัดเซลล์ผิว ก็จะช่วยให้รอยจางลงได้เร็วยิ่งขึ้น
แต่หากแผลปิดสนิทดีแล้วแต่ร่างกายยังคงผลิตคอลลาเจนออกมาอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อทดแทนมากเกินที่เสียหายจากรอยแผล ก็จะทำให้เกิด แผลเป็น! ซึ่งกรณีนี้จะเป็นได้ทั้งแผลเป็นนูน หรือแผลคีลอยด์ ที่ไม่มีใครต้องการ
แยกให้ชัด! แผลเป็นนูน VS แผลเป็นคีลอยด์
แผลเป็นทั้ง 2 ชนิด เกิดจากสาเหตุเดียวกัน คือกระบวนการหายของแผลไม่สมดุล เกิดการกระตุ้นกสนสร้างเนื้อเยื่อมาสมานแผลมากจนเกินพอดี แต่แตกต่างตรงที่…
- แผลเป็นนูน จะมีลักษณะนูนขึ้นเหนือรอยแผลเพียงเล็กน้อย และไม่ขยายเกินขอบเขตรอยแผล มักปรากฎขึ้นในระยะเวลาประมาณ 1 เดือนหลังแผลหาย ซึ่งจะค่อยๆ นิ่มลง ยุบลง และจางลงได้เองในระยะเวลาประมาณ 1 ปี
- แผลเป็นคีลอยด์ จะมีลักษณะนูนขึ้นมาจากแผลอย่างชัดเจน มีการขยายวงกว้างจากรอยแผลเดิม และมีสีที่แดง คล้ำ เข้มกว่าสีผิวปกติอย่างเห็นได้ชัด มักจะมีอาการคันและเจ็บร่วมด้วยในระยะแรก แผลคีลอยด์มักจะเริ่มเกิดขึ้นหลังแผลหายไปแล้วประมาณ 3 เดือนขึ้นไป พบได้บ่อยบริเวณหน้าอก หัวไหล่ หลัง ลำคอ และติ่งหู คีลอยด์ไม่อันตราย ไม่ส่งผลร้าย แต่ก็ไม่สามารถหายได้เอง ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ฉะนั้นไม่ว่าใครก็มีโอกาสเป็น
แผลเป็นนูน คีลอยด์ เป็นได้ก็รักษาได้
- รักษาแผลเป็นด้วยการฉีดยาเสตียรอยด์ เป็นการรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน โดยการใช้ยา Triamcinolone acetonide ที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ กดการทำงานของเซลล์ผิวทุกชนิด ฉีดไปยังบริเวณที่เป็นแผลคีลอยด์โดยตรง ทำให้แผลคีลอยด์มีความนุ่มขึ้น หยุดขยายตัว หายเจ็บหายคัน และค่อยๆ ยุบตัวลง สามารถผสมยาชาเพื่อลดความเจ็บในระหว่างฉีดได้ ในช่วงเริ่มต้นของการรักษามักจะฉีดยาทุก 4-6 สัปดาห์ แต่เมื่อแผลคีลอยด์ดีขึ้นสามารถติดตามการรักษาในระยะเวลาที่ห่างขึ้นได้
- รักษาแผลเป็นด้วยการผ่าตัด โดยจะเป็นการตัดแผลออกหรือลดขนาดของแผลเป็นให้เล็กลง เหมาะสำหรับคนที่ที่ทำการรักษาด้วยการฉีดยาเสตียรอยด์แล้วผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร หรือใช้กับแผลคีลอยด์บริเวณตำแหน่งที่ผ่าตัดได้ เช่น แผลคีลอยด์ติ่งหูที่มีขนาดใหญ่มาก โดยตัดออกทั้งหมดหรือตัดบางส่วนออกให้เล็กลง การรักษาแผลเป็นคีลอยด์ด้วยการผ่าตัด จำเป็นต้องใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่น เพราะแม้จะผ่าตัดแล้วก็ยังมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้
รักษาแผลเป็นด้วยเลเซอร์ เป็นอีกทางเลือกในการรักษา โดยเลเซอร์ Monalisa Touch เป็นเลเซอร์ชนิด CO2 ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ และกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ จึงช่วยให้สีแผลเป็นดูจางลง ลดความนูนของแผล ให้ดูเนียนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะแผลเป็นจากคีลอยด์ หรือการผ่าตัดคลอดบุตร ผ่าตัดรักษาโรคต่างๆ ทางนรีเวช ก็สามารถใช้การรักษาด้วยวิธีนี้ได้ เพื่อคืนความมั่นใจให้คุณ โดยแนะนำให้รับการเลเซอร์อย่างน้อย 3 ครั้งจึงจะเห็นผลลัพท์ที่น่าพึงพอใจ