ตรวจภาวะหยุดหายใจขณะหลับ รู้ทันความเสี่ยงก่อนสาย

ตรวจภาวะหยุดหายใจขณะหลับ รู้ทันความเสี่ยงก่อนสาย

เมื่อกล่าวถึงการนอนกรน คนส่วนหนึ่งมักจะไม่ทราบว่า การนอนกรนเกิดจากปัญหาด้านสรีระและสุขภาพ ทั้งยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอื่นๆ ตามมา หลายคนคิดว่า การนอนกรนไม่น่าจะมีอันตรายร้ายแรงต่อตนเอง ทั้งยังไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับใครในกรณีที่นอนคนเดียว

แต่หากใครก็ตามที่รู้สึกว่า ตื่นเช้ามาแล้วไม่ค่อยสดใส เหมือนนอนไม่ค่อยอิ่ม ทั้งๆ ที่ก็นอนหลับไปนาน 6-8 ชั่วโมง พอช่วงกลางวันก็รู้สึกง่วง เพลีย บางครั้งก็ปวดศีรษะ สมองไม่แล่น จะคิดหรือตัดสินใจอะไรก็ทำได้ช้าลงกว่าที่เคย รู้สึกอารมณ์เสียบ่อย หงุดหงิดง่าย ครั้นพอเข้านอนในตอนกลางคืนก็มีความกระสับกระส่าย มีการสะดุ้งตื่นแล้วหอบหายใจเฮือกเหมือนกำลังสำลักน้ำ ซึ่งอาการเหล่านี้คือสัญญาณเตือนที่บอกว่า คุณกำลังเผชิญกับ “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ” ที่มากกว่าการนอนกรนปกติเข้าให้แล้ว ซึ่งภาวะนี้ก็เกิดจากมีการปิดกั้นของระบบทางเดินหายใจส่วนต้นนั่นเอง

เสี่ยงโรคอะไรบ้าง? เมื่อมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
เมื่อผู้ป่วยมีสรีระที่มีการปิดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้นขณะนอนหลับ จะทำให้การผ่านของออกซิเจนหรือลมหายใจติดขัด และขาดๆ หายๆ เป็นช่วงๆ และเมื่อระดับออกซิเจนในกระแสเลือดลดลง สมองซึ่งไม่ได้หลับไปด้วยจะรับรู้และสั่งการให้ร่างกายรู้สึกตัว เพื่อตื่นขึ้นมาหายใจ อาจเป็นการตื่นแบบตื้นๆ หรือสะดุ้งตื่นอย่างรุนแรง ด้วยเหตุที่ต้องตื่นบ่อยๆ นี่เอง ทำให้ไม่สามารถเกิดการนอนหลับลึกได้อย่างต่อเนื่องในแบบที่ควรจะเป็น จึงส่งผลต่อสุขภาพและสมรรถภาพในการใช้ชีวิตไปจนถึงการทำงานหรือการเรียน ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว ได้มีการศึกษาพบว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นทางเดินหายใจนั้น เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคต่างๆ ได้ เช่น

  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคเบาหวาน
  • ภาวะดื้อต่ออินซูลิน เสี่ยงโรคเบาหวาน
  • ภาวะอ้วนลงพุง เสี่ยงโรคอ้วน

ทั้งยังพบอีกว่า ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มักมีโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง รวมถึงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะร่วมด้วย จึงจำเป็นที่ผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจ วินิจฉัย และรักษาอาการภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ด้วยการค้นหาสาเหตุที่แท้จริง 

ใครบ้าง? ที่เสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ
นอกจากผู้ที่มีภาวะนอนกรน และผู้ที่มีอาการเตือนดังที่กล่าวมา การเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับยังมักเกิดกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ดังนี้

  • ผู้ที่เป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน โดยจากสถิติพบว่า ร้อยละ 60 ของผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมักจะเป็นผู้มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วน 
  • ผู้ที่มีน้ำหนักปกติ แต่มีโครงสร้างใบหน้าและกะโหลกศีรษะผิดรูป คอหนา คางเล็กหรือสั้น ต่อมทอนซิล และอดีนอยด์โต ลิ้นโตกว่าปกติ 
  • ผู้ที่มีปัญหาคัดจมูก หายใจไม่สะดวกจากโพรงจมูกบวม หรือมีโครงสร้างจมูกผิดปกติ 
  • ผู้ที่เป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย หรือทำงานลดลง (Hypothyroid)
  • ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงบางชนิด 
  • ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • ผู้ที่ใช้ยานอนหลับเป็นประจำ 
  • ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน

หยุดเสี่ยงก่อนสาย ด้วยการตรวจหาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ “Sleeping Test”
หากคุณเป็นผู้ที่มีความเสี่ยง ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจที่จะเข้ารับการทดสอบ “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ” ที่เรียกว่า “Sleeping Test” 

สำหรับขั้นตอนในการทดสอบนั้น แพทย์จะทำการซักประวัติ โรคประจำตัว เพื่อให้ทราบถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการนอน รวมถึงทำการตรวจร่างกาย จากนั้นผู้เข้ารับการทดสอบจะได้รับการจัดสิ่งแวดล้อมให้นอนหลับอย่างสบายในห้อง Sleep Lap 1 คืน มีการติดเครื่องมือเพื่อตรวจจับสัญญาณจากร่างกายในส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการ โดยมีการจับสัญญาณคลื่นสมอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจ สัญญาณการขยายตัวของปอดและท้อง การเคลื่อนไหวของขาและแขน ตาและคาง เพื่อค้นหารูปแบบการนอนว่ามีการตื่น หลับตื้น หลับลึก หรือฝัน มากน้อยเพียงใด และแต่ละช่วงใช้เวลาสั้นยาวเท่าไหร่ ทั้งยังมีการวัดค่าลมหายใจเข้าออก ระดับออกซิเจน รวมถึงระดับเสียงกรนอีกด้วย

วันรุ่งขึ้น เมื่อได้ค่าจากการทดสอบมาแล้ว แพทย์จะทำการประมวลผลและประเมินภาวะการหยุดหายใจขณะหลับว่ามีความรุนแรงในระดับที่ต้องทำการรักษาหรือไม่ โดยดูจากค่า Apnea Hypopnea Index (AHI) ที่ได้จากการคำนวณจำนวนครั้งในการหยุดหายใจ การหายใจอย่างแผ่ว เปรียบเทียบกับเวลาที่หลับไป ซึ่งผลการตรวจจะแบ่งความรุนแรงออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับปกติหรือที่ไม่เป็นอันตราย ระดับรุนแรงน้อย รุนแรงปานกลาง และรุนแรงมาก จากนั้นจะวางแผนการรักษาให้ตรงกับสาเหตุต่อไป

การทดสอบ Sleep Test ที่ได้นี้ เป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค และการหยุดหายใจขณะหลับจนกระทั่งเสียชีวิต โดยแพทย์จะแนะนำการปรับพฤติกรรม ทำการรักษาตามสาเหตุและระดับความรุนแรง ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตและฟื้นฟูสุขภาพให้กับผู้ป่วย ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวนั่นเอง


แชร์

Loading...
Loading...