ไข้เลือดออก ยิ่งเป็นซ้ำ ยิ่งเสี่ยงรุนแรง!

ไข้เลือดออก ยิ่งเป็นซ้ำ ยิ่งเสี่ยงรุนแรง!

ผู้ติดเชื้อ โรคไข้เลือดออก ยังมีมากทุกปี

โรคไข้เลือดออก เป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่ยังพบผู้ติดเชื้อและมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากในทุกๆ ปี โดยในบางปีพบผู้ติดเชื้อกว่า 2 หมื่นราย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเล็ก การระบาดของโรคจะสูงขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน เพราะเป็นช่วงฤดูฝนที่มักเกิดแหล่งน้ำขัง อันเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้มีจำนวนมากขึ้นกว่าปกติ

 

อาการไข้เลือดออก ที่ต้องจับตามอง

ไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue Virus) โดยมียุงลายเป็นพาหะ ซึ่งใครก็ตามที่ถูกยุงลายกัด สิ่งที่ควรทำคือ เฝ้าสังเกตตัวเองในช่วง 5-8 วันต่อมา ว่ามีอาการไข้สูงเฉียบพลัน 38-40 องศาเซลเซียส หรือไม่ และหากมีไข้นานติดกัน 3-7 วันขึ้นไป มีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อหลัง กดเจ็บบริเวณชายโครงด้านขวา หน้าแดง ตาแดง มีจุดเลือดสีแดงขึ้นตามลำตัว แขน ขา ปวดกระบอกตา ปวดท้อง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร กระหายน้ำ ซึมลง กระสับกระส่าย เท้าเย็น รอบปากเขียว หรือในบางรายอาจมีอาเจียนร่วมด้วย ถ้ามีอาการใดๆ เหล่านี้หลายอย่างให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นไข้เลือดออก ซึ่งอาการจะต่างจากไข้หวัดหรือการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ ตรงที่ “ไม่พบ” อาการของระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก ร่วมด้วย

 

การตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก

อาการเริ่มต้นของโรคไข้เลือดออกใน 1-3 วันแรก แม้ไม่มีไอ จาม เจ็บคอ หรือน้ำมูก แต่ก็จะคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสทั่วไป จึงจำเป็นต้องใช้การตรวจเลือดเพื่อการแยกโรค หรือการตรวจด้วยวิธีดูภาวะเลือดออกง่าย โดยใช้เครื่องวัดความดันรัดที่ต้นแขน เพื่อดูว่ามีจุดเลือดออกปรากฏหรือไม่ สำหรับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสเด็งกี่จะทราบผลได้อย่างรวดเร็ว โดยมีอยู่ 2 วิธี คือ
1.ตรวจหาโปรตีนที่สร้างจากไวรัสเดงกี่ สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่วันที่ 1-5 ของการมีไข้
2.ตรวจ PCR เพื่อหาจีโนม (สารพันธุกรรม) ของไวรัสในเลือด ซึ่งสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่วันที่ 1-3 ของการมีไข้ นอกจากนี้ยังมีการตรวจ

  • ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้จะทำลายเกล็ดเลือดซึ่งมีหน้าที่ในการหยุดเลือด ทำให้มีเลือดออก ซึ่งสอดคล้องกับชื่อโรค “ไข้เลือดออก” การตรวจด้วยวิธีนี้ยังช่วยให้ทราบถึงความรุนแรงของอาการได้ด้วย
  • ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง แพทย์จะทำการตรวจหาเกลือแร่ ความเป็นกรดในเลือด ระดับเอนไซม์ตับ รวมถึงโปรตีน เพื่อเป็นข้อมูลในการพยากรณ์โรคและกำหนดแนวทางการรักษา

 

ไข้เลือดออกกับความรุนแรงของโรค

แม้ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่ควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้จะทำให้เกิดการอักเสบในหลายอวัยวะ ทั้งยังมีการรั่วของสารน้ำออกนอกหลอดเลือดในปริมาณมาก ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เช่น

  • มีการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง
  • มีเลือดออกในอวัยวะต่างๆ เช่น ทางเดินอาหาร สมอง
  • เกิดภาวะช็อกจากการที่เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ไม่พอ
  • การหายใจล้มเหลวจากสารน้ำที่รั่วไปท่วมที่ปอด
  • ตับวายจากการที่ไวรัสทำให้เกิดการอักเสบ และจากการที่เลือดไปเลี้ยงไม่พอ

 

ไข้เลือดออก ยิ่งเป็นซ้ำอาการยิ่งรุนแรง

สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่เป็นซ้ำมีอาการรุนแรงกว่าการเป็นครั้งแรก เพราะการได้รับเชื้อในครั้งก่อน ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะเชื้อสายพันธุ์ที่ได้รับ และภูมิคุ้มกันจะค่อยๆ ลดลง ดังนั้น เมื่อมีการติดเชื้อครั้งที่สองแต่เป็นคนละสายพันธุ์กัน ภูมิต้านทานที่เหลืออยู่จะเกิดความสับสน จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ดีพอหรือกำจัดได้ไม่ทัน ซ้ำยังพบว่าในบางราย ภูมิต้านทานที่เคยเป็นเกราะป้องกันกลับไปส่งเสริมให้เชื้อไวรัสนั้นแข็งแรงขึ้น กระจายตัวได้มากขึ้น จึงเป็นเหตุให้การติดเชื้อครั้งที่สองมีอาการรุนแรงมากกว่าเดิม

 

วัคซีนไข้เลือดออก คำตอบของการป้องกันและลดความรุนแรง

เพราะปัจจุบัน ยังไม่มียาสำหรับรักษาโรคไข้เลือดออกแบบเฉพาะเจาะจง การรักษาที่ทำได้คือการประคับประคองตามอาการและความรุนแรงที่เกิดขึ้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก จึงเป็นการป้องกันทั้งการติดเชื้อและความรุนแรงของโรค โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการใช้วัคซีนไข้เลือดออกที่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ โดยมีประสิทธิภาพดังนี้

  • ป้องกันการติดเชื้อได้ 65.6%
  • ป้องกันความรุนแรงของโรคได้ 93.2%
  • ลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80.8%

 

วัคซีนไข้เลือดออก เหมาะกับใคร?

วัคซีนไข้เลือดออก เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 9-45 ปี โดยจะให้ผลดีในผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อนแล้ว ซึ่งจากสถิติของสำนักระบาดวิทยา พบว่า กลุ่มเด็กวัยเรียนช่วงอายุ 5-14 ปี มักเคยติดเชื้อมาก่อน และสำหรับประชากรในกรุงเทพฯ ที่อายุมากกว่า 15 ปีส่วนใหญ่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาแล้ว แต่อาจไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยจนไม่ทราบว่าตนเองเคยติดเชื้อมาก่อน ดังนั้น หากมีโอกาสจึงควรปรึกษาแพทย์และรับคำแนะนำในการฉีดวัคซีนไข้เลือดออก เพื่อการป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงหากมีการติดเชื้อซ้ำ

 

เพราะไข้เลือดออกอันตรายกว่าที่คิด ดังนั้น หากมีอาการไข้สูง เบื่ออาหาร หน้าแดง มีจุดเลือดที่ผิวหนัง คลื่นไส้ หรืออาเจียนมีเลือดปน หรือแม้แต่เมื่อทราบว่าเป็นไข้เลือดออกแล้วและอยู่ในช่วงระยะไข้ลดลง ก็อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ หากผู้ป่วยมีอาการซึมลง รับประทานอาหารไม่ได้ หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ อาจเข้าสู่ภาวะช็อกได้ ดังนั้นจึงควรเฝ้าระวังจนกว่าจะได้รับการรักษาจนหายดี


แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ



Loading...