โรคปอด ถือเป็นโรคที่มีความสำคัญเพราะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก และเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจโดยตรง ยิ่งในปัจจุบันคนไทยต้องเผชิญกับมลภาวะทางอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เกิดจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ การเผาไหม้เครื่องยนต์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมาในปริมาณมาก การสูบบุหรี่ หรือแม้แต่โรคระบาด โรคติดเชื้อต่างๆ จึงทำให้แนวโน้มของจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ความตระหนักในอันตรายของโรคปอดของคนทั่วไปกลับยังน้อยอยู่มากเมื่อเปรียบเทียบกับโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง เช่น เมื่อมีอาการไอ ก็มักซื้อยามากินเอง หรือปล่อยให้หายเอง โดยลืมไปว่า อาการที่เป็นนั้นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคใดโรคหนึ่งที่เกี่ยวกับสุขภาพปอด ซึ่งเมื่อปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างตรงจุด อาจลุกลามรุนแรงจนยากที่จะรักษาให้หายดีได้
รู้ไหม ใครบ้างที่เสี่ยงสุขภาพปอดพัง?
โดยทั่วไปแล้ว เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ปอดของเรากำลังป่วยจนกว่าจะเกิดอาการแสดง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นโรคก็มักอยู่ในระยะรุนแรงแล้ว เพราะปอดเป็นอวัยวะที่ได้ชื่อว่ามีความทนทานสูงจึงเก็บอาการไว้นาน แต่การตรวจที่เรียกว่า “การตรวจสมรรถภาพปอด” (Pulmonary Function Tests : PFTs) จะช่วยคัดกรองและสามารถตรวจพบอาการเริ่มต้นที่ซ่อนอยู่ได้ แล้วใครบ้าง? คือผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจนี้
- ผู้ที่สูบบุหรี่ และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองจากการสูบบุหรี่ของคนที่อยู่ใกล้ๆ เป็นประจำ
- ผู้ที่ใช้ขนส่งสาธารณะ หรือขี่รถจักรยานยนต์เป็นประจำ
- ผู้ที่อาศัยในบริเวณที่มีมลภาวะสูง เช่น ใกล้โรงงานอุตสากรรม ใกล้ถนนใหญ่
- ผู้ที่มีอาการไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ขึ้นไป
- ผู้ที่มีอาการเหนื่อยง่าย หรือรู้สึกหายใจลำบาก
- ผู้ที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้อากาศ หอบหืด ถุงลมโป่งพอง
- ผู้ที่ต้องทำงานในที่ที่มีมลภาวะสูง เช่น ในโรงงานที่มีฝุ่น เหมืองแร่ โรงโม่หิน มีไอสารเคมี ทำงานใกล้ถนนใหญ่ที่การจราจรพลุกพล่าน หรือผู้ได้รับไอน้ำมันจากการปรุงอาหารสม่ำเสมอ
- ผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยวัณโรค หรือมีคนในครอบครัวป่วยเป็นวัณโรค
- คนทั่วไปที่แม้ไม่มีอาการ แต่มีประวัติเสี่ยงต่างๆ ดังที่กล่าวมา
การตรวจสมรรถภาพปอด (Pulmonary Function Tests : PFTs) คืออะไร?
การตรวจสมรรถภาพปอด (Pulmonary Function Tests : PFTs) เป็นทั้งการตรวจคัดกรอง และการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค รวมถึงประเมินผลการรักษาโรคทางระบบการหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคปอดจากการทำงาน ผลการตรวจสามารถบอกได้ถึงความเสื่อมของการทำงานของปอดก่อนที่จะแสดงอาการ เช่น อาการเหนื่อยหอบที่ยังไม่ปรากฏ แต่เมื่อตรวจสมรรถภาพปอดอาจพบว่าสภาพปอดได้เสียหายไปมากแล้ว
การตรวจสมรรถภาพปอด เป็นการตรวจที่ผู้เข้ารับการตรวจจะต้องออกแรงเป่าอากาศอย่างเต็มที่ (Maximal Effort) โดยทั้งการสูดลมและการเป่าต้องทำทางปาก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปคุ้นเคย ทั้งนี้ ผู้ควบคุมการตรวจ (Technician) ที่มีความชำนาญและประสบการณ์จะเป็นผู้คอยให้คำแนะนำจังหวะในการสูดลมและการเป่าลม เนื่องจากมีความสำคัญกับการประเมินผลตรวจเป็นอย่างมาก
การตรวจสมรรถภาพปอดด้วย วิธีสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) คืออะไร?
เป็นการตรวจด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Spirometer เพื่อวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้าและออกจากปอด ซึ่งข้อมูลที่ได้จะแสดงเป็นกราฟบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรและเวลาเรียกว่า Spirogram การตรวจด้วยวิธีนี้ มีข้อดีคือ
- ใช้เครื่องมือที่ไม่ซับซ้อน จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
- ทำได้ง่าย ใช้เวลาเพียง 15-30 นาที
- ให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ดี มีหลายค่าที่สามารถวัดได้และให้ประโยชน์มาก
การประเมินผลการตรวจ
การตรวจด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) จะแสดงค่าสมรรถภาพปอดได้ ดังนี้
1.ค่า FVC (Forced Vital Capacity )
คือปริมาตรอากาศที่เป่าออกอย่างเร็วแรง หลังจากหายใจเข้าอย่างเต็มที่ โดยค่า FVC นี้จะแสดงถึงปริมาตรอากาศที่จุอยู่ในปอดเกือบทั้งหมด ค่านี้จะลดต่ำลงเมื่อเนื้อเยื่อปอดมีการเปลี่ยนแปลง เช่น เกิดพังผืด หรือปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ภาวะนี้จะเรียกว่า RESTRICTIVE คือ มีการจำกัดการขยายตัวของปอด โดยค่าปกติของ FVC จะต้องมีปริมาตรของอากาศมากกว่า 80%
2.ค่า FEV 1 (Forced Expiratory Volume in one second)
คือปริมาตรของอากาศที่เป่าออกอย่างเร็วแรงในวินาทีที่ 1 ซึ่งค่า FEV 1 จะถูกนำมาใช้บ่อยที่สุดในการตรวจสมรรถภาพปอด ค่า FEV 1 ที่ได้ จะนำมาคำนวณร่วมกันกับค่า FVC เพื่อหาค่า FEV 1 / FVC% โดยค่าปกติจะต้องมีปริมาตรของอากาศมากกว่า 80%
3.ค่า FEV 1 / FVC%
คือร้อยละของปริมาตรอากาศที่เป่าออกมาได้ในวินาทีที่ 1 ต่อปริมาตรของอากาศที่เป่าออกมาได้มากที่สุดอย่างเร็วแรง ค่านี้จะแสดงถึงการอุดกั้นของหลอดลมได้ดีที่สุด โดยค่า FEV 1 / FVC% จะแสดงถึงความสามารถของการเป่าอากาศออกจากปอด ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแรงของผู้เข้ารับการทดสอบ และลักษณะของทางเดินหายใจ ถ้าทางเดินหายใจถูกอุดกั้น หรือมีความยืดหยุ่นตัวลดลง อากาศจะผ่านออกลำบาก ค่าที่คำนวณได้ก็จะลดน้อยลง เราเรียกภาวะนี้ว่า OBSTRUCTIVE หรือมีการอุดกั้นหรือบีบของหลอดลม ซึ่งค่าที่เป็นปกติจะต้องมากกว่า 70%
ค่าที่ได้ทั้ง 3 ค่านี้ จะบอกได้ถึงความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ ปอด เพื่อการพยากรณ์โรค และใช้ในการประเมินผลการรักษาของโรคต่างๆ เช่น
- การอุดกั้นของหลอดลมในผู้ที่เป็นโรคหืด
- โรคถุงลมโป่งพองจากการสูบบุหรี่
- โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
- ความยืดหยุ่นและความจุของปอดลดลง ในผู้ที่มีโรคของเนื้อปอด
- ผู้ที่โครงสร้างกล้ามเนื้อหรือกระดูกที่ช่วยในการหายใจผิดปกติ หรือหลายโรคร่วมกัน
ทั้งนี้ การตรวจสมรรถภาพปอดจะทำให้เราทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะปอด เป็นการวัดปริมาตรอากาศเข้า-ออกจากปอด วัดขนาดของระบบทางเดินหายใจ และวัดระดับออกซิเจน ซึ่งต่างจากการตรวจเอกซเรย์ปอดที่เป็นการตรวจหารอยโรคในปอด การตรวจสมรรถภาพปอดจึงนับเป็นการตรวจที่ทำได้ง่ายแต่ให้ประโยชน์สูง และเป็นการตรวจที่สามารถค้นหาความผิดปกติได้ก่อนที่จะเกิดอาการปรากฏออกมาให้เห็น จึงเป็นทั้งการป้องกันการลุกลาม ก่อนที่ปอดจะถูกทำลายไปมากจนไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาหายใจได้ตามปกติ และเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลการรักษาอีกด้วย