‘ความรักทำให้โลกสวยงาม’ เป็นคำที่มีความหมายไม่เฉพาะแค่ “ชายกับหญิง” เท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเป็น ‘ความรักแบบชาย-ชาย’ หรือ ‘หญิง-หญิง’ หรือความรักในรูปแบบใดก็ตาม หากเกิดจากความรู้สึกที่บริสุทธิ์ใจต่อกัน ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้โลกนี้น่าอยู่ สดใส และสวยงามขึ้นได้ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ในทุกคู่ความสัมพันธ์ จำเป็นจะต้อง ใส่ใจในเรื่องของการตรวจสุขภาพ ทั้งกับตนเองและกับคู่รักให้มากด้วย เพราะไม่เช่นนั้นความรักของเราอาจถูกบั่นทอนจากโรคภัยไข้เจ็บรวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ซึ่ง ในรูปแบบความสัมพันธ์แบบชายรักชายนั้นจะมีความเสี่ยงที่มากกว่าหรือแตกต่างจากคู่รักเพศอื่นอย่างไร? วันนี้เราจะมาทราบไปพร้อมๆ กัน
ทำไมชายรักชายจึงเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายกว่า?
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมความสัมพันธ์แบบชายรักชายจึงมีโอกาสเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายกว่าความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น คำตอบก็คือ ‘เพราะการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักนั้น จะมีโอกาสเกิดการเสียดสีที่ทำให้เกิดแผลหรือมีเลือดออกได้ง่ายกว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด’ จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์สูงกว่า ส่วนในกรณีความสัมพันธ์แบบหญิงกับหญิง ในการมีเพศสัมพันธ์มักไม่มีการสอดใส่ หรือหากมีการใช้ Sex Toy ก็ไม่ได้เพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดบาดแผลเพิ่มขึ้นมากนัก รวมถึงไม่ได้มีการหลั่งสารคัดหลั่งระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ด้วย จึงทำให้โอกาสในการติดเชื้อนั้นมีน้อยกว่าความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น
ชายรักชายให้ปลอดภัย ควรตรวจสุขภาพป้องกันโรคอะไรบ้าง?
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในรูปแบบความสัมพันธ์ของชายรักชายนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายโรค โดยมีทั้งกลุ่มโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างเดียว และโรคที่ติดต่อได้ทั้งทางเพศสัมพันธ์และทางเลือด แต่โดยส่วนใหญ่แล้วที่ควรเฝ้าระวังและควรมีการตรวจสุขภาพให้มั่นใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ก็เช่น ซิฟิลิส หนองใน หูดหงอนไก่ การติดเชื้อ HIV ที่อาจนำไปสู่การโรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบบี ซี และเอ เป็นต้น ซึ่งโรคดังกล่าวจะมีโอกาสติดเชื้อได้ผ่านทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักและทางปากหรือออรัลเซ็กส์นั่นเอง
โดยคำแนะนำสำหรับการตรวจสุขภาพ คือ ควรเริ่มต้นจากการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและเอก่อน ซึ่งหากปรากฏว่าไม่มีภูมิคุ้มกันเลย ก็สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน ซึ่งจะทำให้ปลอดภัยจาก 2 โรคนี้ได้ทันที ในขณะที่การติดเชื้อ HIV และโรคอื่นๆ นั้น ควรได้รับการตรวจอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุก 3 เดือน หรือขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของทั้ง 2 ฝ่ายว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน
ฝ่ายรับหรือฝ่ายรุกในชายรักชาย ใครมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อได้มากกว่ากัน?
หากมองกันที่รูปแบบของความสัมพันธ์แล้ว หลายคนอาจรู้สึกว่า “ฝ่ายรุก” ไม่น่ามีโอกาสติดเชื้อ เพราะไม่มีความเสี่ยงที่จะเลือดออกหรือเกิดบาดแผลได้เหมือนกับ “ฝ่ายรับ” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรุกหรือรับก็มีโอกาสติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้ทั้งสิ้น แต่โอกาสในการติดเชื้อนั้น ฝ่ายรับจะมีสูงกว่าฝ่ายรุก เช่น โอกาสในการติดเชื้อ HIV นั้น ฝ่ายรับจะมีความเสี่ยงอยู่ที่ 0.5-30% ในขณะที่ฝ่ายรุกจะมีความเสี่ยงอยู่ที่ 0.1% ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ ก็ควรที่จะให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพและความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์เสมอ
Lifestyle ชายรักชายแบบไหน? ควรใส่ใจการตรวจสุขภาพมากที่สุด
ความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของกลุ่มชายรักชายนั้น สามารถแบ่งได้ตามไลฟ์สไตล์ หรือวิถีการใช้ชีวิต โดยหากเป็นกลุ่มที่ยึดมั่นในคู่ของตัวเองคนเดียว คือรักเดียวใจเดียวไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับใครคนอื่น ก็จะถือว่ามีความเสี่ยงน้อย สามารถตรวจสุขภาพได้ก่อนมีเพศสัมพันธ์กันในครั้งแรกเพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย และหลังจากนั้นก็อาจไม่จำเป็นต้องตรวจบ่อย
แต่สำหรับกลุ่มที่เป็น Multi Partner หรือมีคู่นอนหลายคน มีการสลับคู่นอนบ่อยๆ หรือในบางคนที่มีอาชีพเป็น Sex Worker หรือมีคู่ของตัวเองนั้นเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่แล้ว ก็ควรได้รับการตรวจสุขภาพที่บ่อยและสม่ำเสมอกว่า ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับโรคที่กังวลด้วย อย่างเช่นโรคเอดส์ที่สามารถเกิดได้จากการติดเชื้อ HIV ควรตรวจเป็นประจำทุก 3 เดือน หรืออาจต้องมีการใช้ยาต้านไวรัสร่วมด้วยตามคำแนะนำของแพทย์
คู่รักทุกเพศ ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพ
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบชายรักชาย หญิงรักหญิง หรือความสัมพันธ์แบบชายหญิง การให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากเกิดติดโรคขึ้นมา ความสุขที่เคยมีก็อาจกลายเป็นความทุกข์
อย่างไรก็ตาม แม้การตรวจสุขภาพจะช่วยให้เราอุ่นใจได้ในการลดความเสี่ยง แต่ในบางกรณีอาจตรวจไม่พบเชื้อ ด้วยเชื้อจะมีการหลบซ่อน หรือเราอาจได้รับเชื้อภายหลังเมื่อผ่านการตรวจไปแล้ว จึงทำให้เกิดความเสี่ยงได้อยู่ดี
ดังนั้น ในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง สำหรับรูปแบบความสัมพันธ์แบบชาย-ชาย และชาย-หญิง จึงควรสวมถุงยางอนามัยเสมอ เพราะ ‘การสวมถุงยางอนามัยจะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้มากกว่า 90% ไม่ว่าจะเป็น HIV ซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม รวมถึงโรคอื่นๆ อีกหลายโรคด้วย’
พญ.สุพิชชา องกิตติกุล
อายุรแพทย์ อนุสาขาอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อ
ศูนย์อายุรกรรมโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลพญาไท 3