โรค SLE (Systemic lupus erythematosus) หรือ ลูปัส เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อตัวเองในระบบต่างๆ มักพบในเพศหญิงวัยเจริญพันธุ์ สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยรวมถึงพันธุกรรม ส่วนปัจจัยกระตุ้นคือแสงแดดและการติดเชื้อ
อาการและการวินิจฉัยโรค SLE
ตามหลักการของ EULAR/ACR criteria จะใช้อาการดังต่อไปนี้ในการวินิจฉัยโรค
- มีไข้
- ผื่น
- ผมร่วง
- ปวดข้อ
- ซึม
- สับสน
- ชัก
- อ่อนเพลียจากโลหิตจาง
- ปัสสาวะผิดปกติ
- ตัวบวมจากมีโรค SLE ที่ไต
- เหนื่อยหอบจากระบบปอดและหัวใจผิดปกติ
โดยจะวินิจฉัยร่วมกับการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และการตรวจภูมิคุ้มกัน เช่น Anti-dsDNA antibody, Complement level, Anticardiolipin antibodies เป็นต้น
จะตรวจพบอะไรในผู้ป่วยโรค SLE ที่ไต (Lupus nephritis)?
ผู้ป่วย SLE มีอุบัติการณ์ตรวจพบ เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ หรือพบ โปรตีนในปัสสาวะ ได้ร้อยละ 50-70 หากตรวจพบลักษณะนี้ให้สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคไตจาก SLE ได้ แต่โรค SLE ที่ไตจะมีหลายประเภท มีความรุนแรงและแนวทางการรักษาที่ต่างกัน ซึ่งการเก็บชิ้นเนื้อที่ไตไปตรวจจะช่วยให้เกิดการวางแผนการรักษาได้ดีกว่า การรักษาโรคลูปัส (SLE) ที่เป็นโรคเรื้อรัง มักต้องกินยากดภูมิเพื่อลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งการเลือกใช้ยาจะแตกต่างกันตามความรุนแรงของโรค เช่นกัน
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย SLE
- หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยการใส่เสื้อผ้าปกคลุมร่างกาย กางร่มหรือสวมหมวก ทาครีมกันแดด
- ระวังการติดเชื้อจากอาหาร และการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เพราะจะทำให้เกิดการกำเริบของโรคได้ง่าย
- รับประทานยาและติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยจำเป็นต้องคุมกำเนิดระหว่างรับประทานยาบางชนิด ดังนั้นต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนเสมอ