เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนเกิดแผลเลือดไหล เราก็อยากให้แผลหายเร็วๆ แต่ตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์นั้นจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการซ่อมแซมเซลล์ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของบาดแผลว่าจะหายเร็วแค่ไหน แต่โดยทั่วไปแล้ว ลำดับขั้นการหายของแผลจะเป็นไปดังนี้…
การหายของบาดแผล (Wound healing)
การหายของบาดแผล (wound healing) จะมี 4 ระยะ ได้แก่
1. การหยุดของเลือด (Hemostasis)
เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นจะมีการฉีกขาดของเส้นเลือดจึงทำให้เลือดไหล ซึ่งร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดกระบวนการ hemostasis และ clot formation คือการทำให้มีการแข็งตัวของเลือดและการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด เพื่อให้เลือดหยุดไหล
2. การอักเสบ (Inflammation)
กระบวนการอักเสบ (inflammation) จะเริ่มต้นภายใน 10-30 นาทีหลังเกิดบาดแผล ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณแผล โดยเม็ดเลือดขาวถือเป็นเซลล์สำคัญที่ทำให้แผลหายเร็วขึ้น มีการหลั่ง growth factor มากระตุ้นให้เกิดการเพิ่มจำนวนเซลล์ (proliferation) ซึ่งแผลจะหายได้เองประมาณ 3 วัน หากไม่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน
3. การเจริญและแบ่งเซลล์ (Proliferation)
ลำดับต่อมา เซลล์จะมีการสร้าง granulation tissue คอลลาเจน และสารเคลือบเซลล์ชนิด fibronectin จึงมีการหดรั้งตัวของบาดแผล (wound contracture)
4. การปรับรูปร่าง (Remodeling)
เป็นระยะสุดท้ายของกระบวนการหายของแผล ซึ่งจะเริ่มหลังเกิดบาดแผลแล้วประมาณ 20 วัน โดยกระบวนการนี้สามารถดำเนินต่อไปเป็นปี ซึ่งจะทำให้แผลมีความแข็งแรงขึ้น
ดูแลแผลอย่างไรให้หายดีและหายเร็ว?
- ระวังอย่าให้แผลเปียกชื้นหรือโดนน้ำ เพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้ หากผ้าพันแผลชื้นหรือสกปรกควรทำความสะอาดแผลใหม่ทันที
- กรณีบาดแผลอยู่บริเวณแขน ขา มือ หรือเท้า ควรยกอวัยวะนั้นๆ ให้สูงกว่าระดับหัวใจเพื่อลดอาการปวดบวม
- ไม่ใช้ มือสัมผัส แกะ หรือเกาแผล รักษาความสะอาดของแผล และร่างกายส่วนอื่นๆ ด้วย เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าแผล
- หากมีไข้และปวดแผลมากขึ้น รอยแผลบวมแดง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจซ้ำ โดยสามารถมาก่อนนัดหมายได้
- หากท่านมีนัดฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักหรือพิษสุนัขบ้า ให้มาตามนัดทุกครั้ง เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสมบูรณ์ในการการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค หากไม่สะดวกมาที่โรงพยาบาลแรกที่รักษา สามารถเข้ารับวัคซีนที่โรงพยาบาลใกล้บ้านได้
- ไม่ควรใช้สมุนไพรหรือผงโรยแผลปิดลงบนแผล เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้
- รับประทานยาตามที่แพทย์จัดให้ หากเป็นยาปฏิชีวนะต้องทานต่อเนื่องจนหมด
- พักผ่อนให้เพียงพอ ลดการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้เกิดการอักเสบ
- งดสูบบุหรี่ และงดดื่มสุรา เพราะจะทำให้แผลหายช้า
- มาทำแผลตามที่แพทย์นัด
- รับประทานอาหารที่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ ถั่ว ไข่ขาว นม ผัก ผลไม้รสเปรี้ยว หลีกเลี่ยงของหมักดอง อาหารที่ทำให้เลือดออก เช่น โสม เครื่องดื่มชูกำลัง คอลลาเจ
การตัดไหม : ควรมาตัดไหมตามนัด
การตัดไหมสามารถทำได้หลังเย็บ 7-14 วัน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่บาดเจ็บ ถ้าเป็นแผลบริเวณใบหน้า แพทย์อาจตัดไหมให้ภายใน 5 วัน หลังการเย็บแผล