ในปัจจุบัน คู่สามีภรรยาจำนวนมากแต่งงานช้าลง ซึ่งในกรณีที่ผู้หญิงมีอายุมากขึ้น อัตราการเจริญพันธุ์ก็จะค่อยๆ ลดลงตามไปด้วย ไม่ว่าจะมาจากปัญหาการเสื่อมของรังไข่ก่อนวัย ผนังบุโพรงมดลูกบาง จำนวนและคุณภาพไข่ลดลง ที่ทำให้เกิดปัญหาการมีบุตรยาก
ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีการคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก เช่น วิธีคัดเชื้อฉีดเข้าโพรงมดลูก Intracytoplasmic Sperm Injection (ICSI) และการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF – In Vitro Fertilization) รวมถึงการตรวจโครโมโซมเพื่อเพิ่มความสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้น นอกจากนี้ยังอีกหนึ่งนวัตกรรมทางเลือกในการรักษาผู้มีบุตรยาก นั่นก็คือ การฉีดเกล็ดเลือด PRP
Platelet-Rich Plasma (PRP) คืออะไร ?
PRP คือ พลาสมาที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือด ซึ่งได้จากการสกัดเลือดจากคนไข้เอง แล้วนำมาปั่นผ่านกระบวนการคัดแยกให้ได้เกล็ดเลือดเข้มข้นกว่าปกติ 4-5 เท่า ทั้งนี้แพทย์จะสามารถควบคุมอุณหภูมิระหว่างปั่นไม่ให้กระทบต่อสารชีวภาพในเกล็ดเลือดได้ ทำให้รักษาสารสำคัญต่างๆ ไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การฉีด PRP จะช่วยรักษาอาการ และฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้หลายชนิด เพราะในเกล็ดเลือดมี Growth Factor และ Cytokines อันเป็นสารประกอบที่ช่วยกระตุ้นเซลล์รอบๆ เนื้อเยื่อให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูและแบ่งตัวตามกลไกธรรมชาติได้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การฉีด PRP เหมาะสำหรับใครบ้าง ?
- ผู้ที่มีปัญหารังไข่เสื่อมก่อนวัย การทำ PRP จะช่วยกระตุ้นระดับฮอร์โมนให้การทำงานของรังไข่ให้ดีขึ้น หลังฉีดแล้วพบว่า คนไข้ส่วนใหญ่มีระดับ AMH (ฮอร์โมนที่บอกถึงจำนวนไข่) เพิ่มขึ้น
- ผู้ที่มีภาวะรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นต่ำ
- ผู้ที่มีปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูกบางจนไม่สามารถย้ายตัวอ่อนได้ เมื่อได้รับการฉีด PRP ก่อนการสอดยาโปรเจสเตอโรน พบว่าช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น และมีเลือดมาหล่อเลี้ยงเยื่อบุโพรงมดลูกเพิ่มขึ้น
- ผู้ที่ทำการกระตุ้นไข่ แต่ได้ตัวอ่อนไม่แข็งแรง ไม่ถึงระยะ blastocyst หรือตรวจโครโมโซมไม่ผ่าน
กระบวนการในการฉีด PRP
ใช้ระยะเวลาประมาณ 20 นาที เมื่อนำเลือดไปปั่นแยกแล้ว สามารถนำฉีดเข้าโพรงมดลูกหรือฉีดบริเวณเนื้อรังไข่ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผลการวิจัยรองรับในเรื่องการเพิ่มจำนวนไข่ รวมถึงอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ หรือโอกาสในการเกิดมะเร็งที่รังไข่จากการฉีด PRP