อาการนอนกรนเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในคนทั่วไป ในรายที่มีเพียงอาการนอนกรน(ที่ไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย) จะก่อให้เกิดความรำคาญแก่คนใกล้ชิดและคนรอบข้าง ทำให้อับอายและถูกล้อเลียน แต่หากอาการนอนกรนนั้นมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย นอกจากจะมีปัญหาที่กล่าวข้างต้นแล้วยังก่อผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของผู้นั้นด้วย เพราะช่วงที่หยุดหายใจขณะหลับนั้น ออกซิเจนในเลือดจะต่ำลง ที่เรียกว่าภาวะ Hypoxia ทำให้เซลล์ทั่วร่างกายได้รับออกซิเจนไม่พอ เมื่อตื่นนอนจะรู้สึกนอนไม่พอทั้งที่นอนมามากแล้ว มีอาการหงุดหงิด สมาธิแย่ลง
ในช่วงที่ออกซิเจนในเลือดต่ำนั้นก่อให้เกิดปัญหากับร่างกายอย่างมาก เพราะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระกับเซลล์ร่างกายมาก อนุมูลอิสระที่มากนี้ทำให้ร่างกายเกิดภาวะ Oxidative stress ภาวะ Oxidative stress นี้จะก่อให้เกิดการอักเสบของผนังเส้นเลือดเล็กๆทั่วร่างกาย ทำให้การไหลเวียนเลือดในอวัยวะต่างๆไม่ดี ก่อให้เกิดความเสื่อม แก่ก่อนวัย (Ageing) และนานวันจะก่อเกิดโรคของความเสื่อมที่มาเร็วกว่าคนทั่วไป อาทิ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ข้อเสื่อม ต้อหิน ต้อกระจก ๚ล๚ ดังนั้นถ้ามีอาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับควรรีบรักษาไม่ควรละเลยอีกต่อไป
การรักษาอาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับมี 2 วิธีใหญ่ๆ ดังนี้
- โดยวิธีการไม่ผ่าตัด ได้แก่ การลดน้ำหนัก และการออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงยา หรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง การปรับเปลี่ยนท่าทางในนอน หรือท้ายสุดด้วยการใช้เครื่องช่วยหายใจ อัดอากาศผ่านช่องคอที่แคบทำให้อากาศผ่านทางเดินหายใจที่แคบได้มากขึ้นขณะนอนหลับ (Continuous Positive Airway Pressure: CPAP) ซึ่งในบางรายใช้ได้ แต่ในบางรายก่อให้เกิดความรำคาญและ ปฎิเสธการใช้ไป
- โดยวิธีการผ่าตัด มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับการตรวจพบสาเหตุของปัญหานั้นว่าเป็นที่ตำแหน่งใด เช่น
-
- ถ้าเกิดจากเยื่อบุจมูกบวม ก็สามารถรักษาโดยการจี้เยื่อบุจมูกด้วยคลื่นวิทยุ (RFVTR) เพื่อลดขนาดลง
- ถ้าผนังกั้นช่องจมูกคด ก็ผ่าตัดแก้ไขผนังกั้นช่องจมูกที่เรียกว่า Septoplasty
- ถ้ามีการอุดกั้นทางเดินหายใจในช่องคอ เช่น ทอนซิลโตมาก ก็อาจจะตัดทอนซิลทิ้งที่เรียกว่า Tonsillectomy ซึ่งเป็นวิธีแบบดั้งเดิม ปัจจุบันเราใช้ วิธีที่ดีและทันสมัยกว่าคือการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ เพื่อสลายเนื้อเยื่อต่อมทอนซิลให้มีขนาดเล็กลง ร่วมกับการเย็บซ่อมแซมต่อมทอนซิลให้มีรูปร่างและทำหน้าที่อย่างทอนซิลปกติ วิธีนี้รวมเรียกว่า LASER Tonsilloplasty
- แต่หากสาเหตุเกิดจากการที่เพดานอ่อนหย่อนยาน และลิ้นไก่ยาว วิธีแบบเดิมเราใช้มีดผ่าตัดและเย็บตกแต่งเพดานอ่อน ที่เรียกว่า UPPP (Uvulopalatopharyngoplasty) ซึ่งมีข้อเสียคือ ใช้เวลาในการผ่าตัดนาน เสียเลือดในการผ่าตัดมาก 50-100 cc. ผู้ป่วยเจ็บแผลหลังการผ่าตัดมาก ต้องพักในโรงพยาบาล 2-3 คืน ใช้เวลาในการฟื้นตัวนาน และแผลในช่องคอหลังผ่าตัดไม่สวยงาม
ต่อมาการผ่าตัดได้พัฒนาโดยการใช้เลเซอร์ร่วมในการผ่าตัด ( LASER-assisted Uvulopalatoplasty: LAUP ) แต่ผลผ่าตัดยังไม่ดีเท่าที่ควร ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคใหม่ที่ดีมากและเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกที่เรียกว่า Modified CAPSO technique (Modified cautery assisted palatal stiffening operation technique) ร่วมกับการเย็บตกแต่งเพดานอ่อนและลิ้นไก่ที่เรียกว่า Modified CAPSO and Uvulopalatoplasty ข้อดีในการใช้เทคนิคใหม่นี้คือ ใช้เวลาในการผ่าตัดน้อย เสียเลือดในการผ่าตัดน้อย ไม่เกิน 10 cc. ผู้ป่วยเจ็บแผลหลังการผ่าตัดน้อย พักในโรงพยาบาลเพียง 1 คืน ใช้เวลาในการฟื้นตัวเร็ว และแผลในช่องคอหลังผ่าตัดสวยงาม
โดยการผ่าตัดนี้เหมาะสำหรับรักษาผู้มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่เป็นไม่รุนแรง (Mild OSA) แต่หากนำมาใช้ร่วมกับการรักษาอื่น เช่น จี้เยื่อบุจมูกด้วยคลื่นวิทยุ(RFVTR) และ การใช้เลเซอร์ผ่าตัดสลายเนื้อเยื่อต่อมทอนซิลให้มีขนาดเล็กลงร่วมกับการเย็บซ่อมแซมต่อมทอนซิล ( LASER Tonsilloplasty ) ก็จะสามารถรักษาผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดปานกลางถึงรุนแรงได้ (Moderate to Severe OSA )
นพ.สรัลชัย เกียรติสุระยานนท์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โสต ศอ นาสิก
และศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า
ศูนย์หู คอ จมูก โรงพยาบาลพญาไท 3