ไส้ติ่งอักเสบ เป็นอีกโรคหนึ่งที่คนทั่วไปคุ้นเคยและได้ยินชื่อกันอยู่บ่อยๆ แต่รู้หรือไม่ว่า! ไส้ติ่งอักเสบนั้นสามารถเกิดขึ้นในเด็กได้ด้วย และยิ่งหากเกิดในเด็กเล็กที่ไม่สามารถสื่อสารหรือบอกพ่อแม่ได้อย่างชัดเจนถึงอาการปวดท้อง มักทำให้ไปพบแพทย์ช้า การวินิจฉัยโรคจึงล่าช้าออกไป ซึ่งอาจทำให้อาการของโรคลุกลามจนถึงขั้นไส้ติ่งแตกได้
คุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจ เมื่อพบว่าเด็กมีอาการปวดท้อง และไม่ควรนิ่งนอนใจที่จะรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคโดยเร็ว จะได้รีบทำการรักษาอย่างทันท่วงที
ไส้ติ่งอักเสบในเด็ก เกิดจากอะไร?
ไส้ติ่งอักเสบในเด็ก เกิดจากมีการอุดตันที่ไส้ติ่ง โดยอาจเกิดจากต่อมน้ำเหลืองโต (lymphoid hyperplasia), นิ่วอุจจาระ (fecalith) หรือสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย (foreign body) ในขณะที่ในโพรง (lumen) ของไส้ติ่งมีการสร้างมูกตามปกติ แต่เมื่อมีการอุดกั้นทำให้หนองไม่สามารถระบายออกไปได้ จึงเกิดการสะสม และมีการเพิ่มขึ้นของความดันในช่องท้อง (intraluminal pressure) ทำให้การไหลเวียนของเลือด (blood flow) ที่มาเลี้ยงไส้ติ่งลดลงจนเกิดภาวะขาดออกซิเจน และเกิดเป็นแผล (ulceration) ที่บริเวณชั้นเยื่อเมือก (mucosa) มีผลทำให้เกิดการแพร่กระจายของแบคทีเรีย (bacterial translocation)
จากปัจจัยทั้งสองนี้ (bacterial invasion และ vascular impairment) ทำให้เกิดภาวะไส้ติ่งอักเสบและแตกได้ โดยหนองอาจจะแพร่กระจายในช่องท้อง เกิดการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
อาการไส้ติ่งอักเสบในเด็ก ที่พ่อแม่ควรสังเกต
อาการมักเริ่มจากคลื่นไส้ ปวดท้อง โดยเริ่มจากปวดรอบสะดือ บอกตำแหน่งได้ไม่ชัดเจน (visceral pain) และย้ายมาปวดที่บริเวณขวาล่างของช่องท้อง (parietal pain) โดยสามารถบอกตำแหน่งที่ปวดได้อย่างชัดเจน หรืออาจจะปวดบริเวณด้านขวาล่างตั้งแต่แรก ซึ่งก็คือตำแหน่งของไส้ติ่งนั่นเอง
หลังจากนั้น ผู้ป่วยอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายเหลว หรือมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วยได้ หากมีอาการปวดท้องมากกว่า 48 ชั่วโมง มีโอกาสสูงที่จะเป็นไส้ติ่งอักเสบที่มีความรุนแรง ส่วนในเด็กเล็กที่ไม่สามารถบอกอาการได้ ในระยะแรกเด็กจะปวดท้อง ไม่ค่อยรับประทานอาหาร อาจมีอาเจียน และมักมีไข้ต่ำๆ
การตรวจวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ
เมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์จะได้รับการตรวจตามขั้นตอน ดังนี้
- วัดความดันโลหิต ตรวจสัญญาณชีพ
- ซักประวัติ โดยเฉพาะอาการปวดท้อง และอาการอื่นๆ ประกอบ
- ตรวจร่างกาย
- ตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด
- ตรวจทางรังสีวิทยา เช่น เอกซเรย์ อัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
วิธีการรักษาไส้ติ่งอักเสบในเด็ก
การรักษาไส้ติ่งอักเสบ ส่วนใหญ่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดรักษา ซึ่งการผ่าตัดไส้ติ่งนั้นสามารถทำได้ทั้งการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง และการผ่าตัดแบบส่องกล้อง โดยแพทย์จะแนะนำรายละเอียดของการผ่าตัด และวิธีการที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายบุคคล โดยก่อนทำการผ่าตัด แพทย์จะให้ผู้ป่วยงดน้ำ งดอาหาร (NPO) เปิดเส้นเลือดให้สารน้ำ fluid resuscitation และให้ยาฆ่าเชื้อที่ครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ (gram-negative) และ anaerobe
ทั้งนี้ เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบแล้ว การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดจะมีการประเมินภาวะขาดน้ำในร่างกาย เพราะเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากในเด็กเมื่อมีการติดเชื้อ อาเจียน หรือมีไข้ จะทำให้สมดุลน้ำในร่างกายพร่องลงอย่างรวดเร็ว การให้สารน้ำก่อนผ่าตัดให้เพียงพอจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดได้
เมื่อไหร่ก็ตามที่พบว่าเด็กมีอาการน่าสงสัยว่าอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรละเลย ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพราะ ‘ไส้ติ่งอักเสบในเด็ก’ เสี่ยงต่อการแตกได้ไวกว่าในผู้ใหญ่ และแม้ว่าการผ่าตัดจะฟังดูน่ากลัวสำหรับเด็ก แต่การมาพบแพทย์ตั้งแต่อาการยังน้อย จะช่วยให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยและผลการรักษาที่ดี
ผศ.นพ. ชลศักดิ์ ถิรภัทรพันธ์
แพทย์ที่ปรึกษา สาขากุมารศัลยศาสตร์
ศูนย์สุขภาพเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาล พญาไท 2