การสวนหัวใจ และขยายหลอดเลือด

พญาไท พหลโยธิน

1 นาที

พ. 31/01/2024

แชร์


Loading...
การสวนหัวใจ และขยายหลอดเลือด

หลอดเลือดหัวใจตีบ สามารถตรวจวินิจฉัยได้ด้วยการสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac Catheterization with Coronary Angiography) คือการฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในเส้นเลือดหัวใจโดยตรง เพื่อถ่ายภาพเส้นเลือดหัวใจให้เห็นบริเวณที่มีการตีบตันของเส้นเลือด โดยจะฉีดยาชาที่ขาหนีบ หรือข้อมือซ้าย หรือขวาของคนไข้ หลังจากนั้นแพทย์จะเจาะรูเล็กๆ ที่ผิวหนัง แล้วสอดสายสวนขนาดประมาณ 2.5 มม. เข้าในเส้นเลือดแดงผ่านไปที่เส้นเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้า จากนั้นแพทย์จะฉีดสารทึบรังสีเอ็กซเรย์เข้าทางสายสวนไปที่หลอดเลือดหัวใจ เพื่อตรวจสอบว่ามีการตีบแคบ หรือตีบตันของหลอดเลือดหรือไม่ เพื่อพิจารณาแนวทางการรักษา วิธีนี้สามารถมองเห็นบริเวณเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจว่าอุดตันกี่แห่ง สภาพหลอดเลือดเป็นอย่างไร สามารถรักษาโดยขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนได้หรือไม่ ควรรักษาด้วยวิธีใดเหมาะสมที่สุด

 

 

การสวนหลอดเลือดหัวใจปัจจุบันสามารถทำได้ 2 จุดหลัก คือ บริเวณขาหนีบและบริเวณข้อมือ การสวนหลอดเลือดหัวใจบริเวณขาหนีบ (Femoral Artery) โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ ไม่ผ่าตัด ใช้เวลาในการตรวจประมาณ 30-60 นาที หลังจากทำเสร็จจะดึงสายสวนออก และกดบริเวณขาหนีบประมาณ 15 นาที โดยไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยจึงต้องนอนราบ และงอขาหนีบไม่ได้ 6-10 ชั่วโมง ไม่สามารถลุกนั่ง หรือเดินได้ในทันที

 

 

สำหรับการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านบริเวณข้อมือ (Radial Artery) สามารถทำผ่านทางหลอดเลือดแดงที่ข้อมือได้ โดยใช้ระยะเวลาพักฟื้น 4-8 ชม. หลังการทำหัตถการสามารถลุก นั่ง หรือยืนได้ทันที มีเพียงสายรัดข้อมือ (TR band) ที่ใส่ไว้เพียงไม่นาน โดยแพทย์ต้องมีความชำนาญในวิธีนี้ อีกทั้งยังมีข้อดีหลายประการ โดยเฉพาะคนไข้ที่อ้วนมาก และมีภาวะหลอดเลือดขาส่วนปลายตีบ การทำบริเวณข้อมือเป็นทางเลือกที่ดี แต่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำได้ สำหรับกรณีที่ต้องสงวนรักษาหลอดเลือดแดงที่ข้อมือไว้เพื่อใช้รักษากรณีอื่น เช่น การฟอกไต เป็นต้น

 

 

กระบวนการสวนหัวใจจะเริ่มจากการฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจที่ตีบ หากพบว่ามีเส้นเลือดตีบ แพทย์จะพิจารณาว่าต้องทำบอลลูนขยายหรือไม่ หรือจะส่งไปผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Bypass) โดยใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที หากผู้ป่วยจะต้องทำบอลลูนเพื่อขยายหลอดเลือด ก็จะใช้เวลาต่ออีกไม่เกิน 1 ชั่วโมง แพทย์จะใช้วิธีการฉีดยาชาเฉพาะจุดเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อดีเนื่องจากการวางยาสลบจะเพิ่มความเสี่ยงแก่ผู้ป่วยมากขึ้น หากผู้ป่วยรู้ตัวตลอดเวลาจะสามารถสื่อสารกับแพทย์ถึงความต้องการและอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ทำให้ทีมสามารถดูแลผู้ป่วยได้ทันท่วงทีหากเกิดภาวะฉุกเฉิน หลังจากทำบอลลูนแล้วผู้ป่วยจะใช้เวลาพักฟื้น 1-2 วัน ก็สามารถกลับบ้านได้

 

 

การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจโดยการทำ PTCA และ Bypass

  • การขยายหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยบอลลูนและการดามขดลวด (Percutaneous Transluminal Coronary Angioplasty หรือ PTCA & Stent) เป็นวิธีการที่ใช้รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งทำต่อจากการสวนหัวใจ วิธีนี้จะใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจเพื่อให้เลือดเข้าไปเลี้ยงหัวใจได้ตามปกติ รวมถึงการใส่ขดลวดตาข่าย (Stent) ในเส้นเลือดหัวใจของผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หลังการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนเพื่อป้องกันการตีบซ้ำของเส้นเลือด
  • ในการทำ PTCA เฉลี่ยส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 0.5 -1.5 ชม. ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของหลอดเลือดที่ตีบ และจำนวนของหลอดเลือดที่ตีบด้วย ข้อดีของการทำ PTCA คือทำให้ผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บ หน้าอกได้อย่างรวดเร็ว และระยะเวลาพักฟื้นภายในโรงพยาบาลก็จะสั้นมาก ผู้ป่วยส่วนมากสามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน และกลับไปทำกิจกรรมหรืองานต่างๆ ได้ตามปกติภายใน 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามการทำ PTCA ด้วยการใช้บอลลูนธรรมดาก็ยังเป็นที่นิยมใช้กันอยู่ โดยมีการใส่ขดลวดร่วมด้วยมากกว่า 80 % และยังมีขดลวดแบบใหม่ที่สามารถลดการตีบใหม่ลงเหลือน้อยกว่า 5 % อีกด้วย ผลการรักษาด้วยวิธี PCI นี้ปัจจุบันมีผลสำเร็จตั้งแต่ 85-99 % แต่ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างโดยที่เราไม่สามารถใช้การรักษาแบบนี้ทดแทนการผ่าตัดได้ในบางกรณี
  • Bypass Surgery/Coronary Artery Bypass Grafting (CABG) เพื่อเปลี่ยนทางลำเลียงเลือดไปยังหัวใจใหม่ ทำโดยการใช้เส้นเลือดดำจากขา หรือเส้นเลือดแดงจากบริเวณหน้าอกมาทำเส้นทางเดินเลือดใหม่โดยข้ามตำแหน่งที่อุดตัน ซึ่งมักจำเป็นต้องทำครั้งละ 2-5 เส้นในคราวเดียวกัน สำหรับการทำผ่าตัดบายพาสโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันในปัจจุบัน มี 2 วิธี คือ การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ โดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump CABG) หรือ แบบ “ไม่ต้องหยุดหัวใจ” และการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ แบบต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (On-Pump CABG) เพื่อ “หยุด” การทำงานของหัวใจทั้งหมด

 

ทั้งนี้การผ่าตัดบายพาสแบบไม่หยุดหัวใจ ยังทำให้ใช้ปริมาณเลือดน้อยลง และลดระยะเวลาในการผ่าตัดและการดมยาสลบให้สั้นลง ตลอดจนระยะเวลาในการพักฟื้นในโรงพยาบาลก็สั้นกว่าแบบผ่าตัดบายพาสหยุดหัวใจ


แชร์

Loading...
Loading...
Loading...