การตัดต่อเส้นเลือดสมองในผู้ป่วยเส้นเลือดสมองตีบ Moyamoya และเส้นเลือดสมองโป่งพอง

พญาไท 1

2 นาที

จ. 30/09/2024

แชร์


Loading...
การตัดต่อเส้นเลือดสมองในผู้ป่วยเส้นเลือดสมองตีบ Moyamoya และเส้นเลือดสมองโป่งพอง

เมื่อกล่าวถึงโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดสมองหรือหลอดเลือดสมอง คนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงโรคเส้นเลือดสมองตีบที่มักพบในกลุ่มผู้สูงอายุ และนำไปสู่อาการ Stroke จนก่อให้เกิดภาวะอัมพฤกษ์อัมพาตหรือเสียชีวิต แต่รู้หรือไม่ว่า! เส้นเลือดสมองตีบยังสามารถเป็นได้ตั้งแต่กำเนิด โดยเกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดสมองที่ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ นั่นคือโรคหลอดเลือดสมอง Moyamoya ซึ่งวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับอาการ การตรวจวินิจฉัย และการรักษา รวมไปถึงโรคเส้นเลือดสมองโป่งพองที่สัมพันธ์กัน และสามารถตรวจพบและรักษาได้ก่อนที่จะเกิดเส้นเลือดสมองแตก

 

รู้จักเส้นเลือดกันก่อน

เส้นเลือดหรือหลอดเลือดในร่างกายจะมีอยู่ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ หลอดเลือดแดง (Arteries) ซึ่งนำเลือดและออกซิเจนจากหัวใจไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ หลอดเลือดดำ (Veins) นำเลือดที่ใช้แล้วกลับเข้าสู่หัวใจ และ หลอดเลือดฝอย (Capillaries) ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนสารอาหารและออกซิเจนระหว่างเลือดกับเซลล์ต่างๆ

 

โดยเส้นเลือดแต่ละประเภทจะมีความพิเศษเฉพาะตัว เช่น เส้นเลือดแดงมีผนังหนาและแข็งแรงที่ทนต่อแรงดันเลือด ส่วนเส้นเลือดดำจะมีผนังที่บางกว่า และเส้นเลือดฝอยมีผนังบางที่สุด ทั้งนี้ เส้นเลือดสมอง จะมีโครงสร้างพิเศษที่ต่างจากเส้นเลือดในอวัยวะอื่นๆ เช่น มี blood-brain barrier ที่ช่วยป้องกันสารพิษเข้าสู่สมอง

 

โรคเส้นเลือดสมองที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง?

  • โรคหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic stroke) เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด หรืออีกกรณีหนึ่งซึ่งเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบเช่นกัน แต่พบไม่บ่อยนัก คือ โรคหลอดเลือดสมอง Moyamoya ซึ่งเป็นภาวะที่หลอดเลือดแดงใหญ่ carotid มีอาการตีบหรือตันเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่มักเป็นความผิดปกติที่มีมาแต่กำเนิด
  • โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) เกิดจากการแตกของหลอดเลือดในสมอง ส่งผลให้เลือดไหลออกมาในเนื้อสมอง ซึ่งส่วนหนึ่งจะเกิดจากการมี หลอดเลือดสมองโป่งพอง (Cerebral aneurysm) ในบริเวณผนังหลอดเลือดสมอง โดยเกิดได้จากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง เช่น มีอายุที่มากขึ้นหรือ 40 ปีขึ้นไป มีความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่เป็นประจำต่อเนื่องหลายปี มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง หรือมีความผิดปกติของหลอดเลือดแต่กำเนิด เช่น ภาวะหลอดเลือดอ่อนแอ รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มีส่วน แต่ด้วยในปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการตรวจพบภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพองได้เร็ว ทำให้สามารถระบุถึงความรุนแรงและโอกาสที่จะเกิดเส้นเลือดสมองแตกตามมา ทำให้สามารถทำการรักษาได้อย่างทันท่วงทีโดยไม่ต้องรอให้มีอาการแสดงที่รุนแรง

 

หากเส้นเลือดสมองแตกผู้ป่วยจะมีอาการอย่างไร?

อาการที่พบได้เมื่อเส้นเลือดสมองแตกนั้นมีหลายอย่าง เช่น

  • ปวดศีรษะรุนแรงและเฉียบพลัน ซึ่งมักถูกระบุว่าเป็นการปวดศีรษะที่แย่หรือหนักที่สุดในชีวิต
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • หมดสติ หรือมีอาการซึมลงอย่างรวดเร็ว
  • มีอาการทางระบบประสาท เช่น พูดไม่ชัด เห็นภาพซ้อน อัมพาตครึ่งซีก ชัก หรือหมดสติ
  • คอแข็งหรือตึง ซึ่งอาจเกิดจากภาวะเลือดออกในสมองที่ชั้นเยื่อหุ้มสมอง (subarachnoid hemorrhage)

 

ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยภาวะเส้นเลือดสมองแตก

การตรวจวินิจฉัยภาวะเส้นเลือดสมองแตกจะประกอบด้วย

  • CT scan (Computerized Tomography) เป็นการตรวจสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อให้เห็นภาพสมองและจุดที่มีเลือดออกในสมอง
  • CT angiography (CTA) หรือ Magnetic Resonance Angiography (MRA) เป็นการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้เห็นภาพของหลอดเลือด เพื่อหาจุดโป่งพองหรือการบาดเจ็บในเส้นเลือด
  • Cerebral Angiogram เป็นการฉีดสารทึบรังสีเข้าสู่หลอดเลือดสมอง เพื่อตรวจสอบการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดสมอง และโครงสร้างของหลอดเลือดสมองว่ามีการแตกหรืออุดตันหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด

 

การรักษาด้วยการตัดต่อเส้นเลือดสมอง (Cerebral Revascularization)

เมื่อเส้นเลือดสมองตีบ ตัน แตก หรือโป่งพอง และจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด จะมีจุดมุ่งหมายหลัก 2 ประการสำคัญ คือ

  • เพิ่มการไหลเวียนของเลือด (Flow augmentation) และ
  • รักษาการไหลเวียนของเลือด (Flow preservation) โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

1.เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด (Flow Augmentation)

การเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมุ่งเน้นที่การช่วยผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดตีบ ตัน หรือขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง อย่าง โรคหลอดเลือดสมอง Moyamoya ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดแดงใหญ่ carotid ตีบหรืออุดตันทีละน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้การไหลเวียนเลือดสู่สมองลดลงจนสมองขาดเลือด

 

โรคหลอดเลือดสมอง Moyamoya นี้มักพบในเด็กช่วงอายุไม่เกิน 10 ปี หรือในผู้ใหญ่ช่วงอายุ 30-40 ปี โดยอาการแสดงมักปรากฏในรูปของอัมพาตหรืออ่อนแรง ชัก ปวดศีรษะรุนแรง หรือความจำเสื่อม (cognitive impairment) และยังมีอาการในลักษณะเดียวกับโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือ Stroke

 

ทั้งนี้ แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคด้วยการตรวจหลอดเลือดสมอง เช่น การทำ CTA, MRA ซึ่งเป็นการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้เห็นภาพของหลอดเลือดและการไหลเวียนของเลือดในสมอง

 

อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาการ Moyamoya syndrome ยังเกิดได้จากสาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้นต่างๆ เช่น

  • ภายหลังการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว (post-treatment leukemia)
  • การฉายรังสี (post-radiation)
  • ภาวะหลอดเลือดอักเสบ (vasculitis)
  • โรคหลอดเลือดแข็งตัว (atherosclerosis)
  • กลุ่มอาการแอนติฟอสโฟไลปิด (antiphospholipid syndrome)
  • ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperthyroidism)

นอกจากนี้ การผ่าตัดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ยังมักทำในผู้ป่วยที่มี หลอดเลือดตีบหรืออุดตันอย่างรุนแรง (Severe Stenosis or Occlusion) เช่น ภาวะหลอดเลือดแข็งในสมอง (Intracranial Atherosclerotic Disease) ซึ่งเกิดจากการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองน้อยลง และนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองที่รุนแรงขึ้นได้

 

2.เพื่อรักษาการไหลเวียนของเลือด (Flow Preservation)

การรักษาการไหลเวียนของเลือดมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้การไหลเวียนของเลือดไปยังสมองถูกขัดขวาง มักทำในกรณีดังนี้

  • เส้นเลือดโป่งพองที่เกิดจากการฉีกขาดของผนังหลอดเลือด (Dissecting Aneurysm) ซึ่งจะทำให้เลือดไหลเข้าไปในผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดเส้นเลือดโป่งพอง หากปล่อยไว้ก็จะเสี่ยงต่อการแตกของเส้นเลือดและทำให้มีเลือดออกในสมอง
  • เส้นเลือดโป่งพองทั้งหลอดเลือด (Fusiform Aneurysm) ซึ่งเสี่ยงต่อการแตกสูง
  • เนื้องอกที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด ซึ่งในกรณีที่จำเป็นต้องผ่าตัดเนื้องอกออก อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเส้นเลือดสมอง เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหลังจากการผ่าตัด

ทั้งนี้ การผ่าตัดหรือตัดต่อเส้นเลือดสมอง (Cerebral Revascularization) เป็นวิธีการสำคัญในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองที่มีภาวะขาดเลือด และได้ผลดีในผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง Moyamoya ที่ชัดเจนกว่าการรักษาด้วยยาเป็นอย่างมาก รวมถึงดีกับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดโป่งพอง โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มและรักษาการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกในอนาคต

 

เทคนิคและขั้นตอนสำคัญในการผ่าตัดเส้นเลือดสมอง (Cerebral Revascularization)

การผ่าตัดเส้นเลือดสมองมีขั้นตอนที่ซับซ้อน จึงต้องอาศัยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรมหลอดเลือดสมอง หรือศัลยแพทย์ระบบประสาทโดยเฉพาะ ซึ่งแพทย์จะเลือกวิธีรักษาโดยพิจารณาจากขนาดและตำแหน่งของเส้นเลือดที่มีปัญหา รวมถึงสภาพร่างกายของผู้ป่วย ดังนี้

 

  • การผ่าตัดสร้างทางเบี่ยงหลอดเลือดสมอง (Bypass) เป็นการสร้างเส้นทางใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงบริเวณที่ตีบหรืออุดตัน ใช้ในกรณีที่เส้นเลือดมีการตีบตันรุนแรงหรือเสียหายจากการแตก
  • การใส่ขดลวดในหลอดเลือดสมอง (Endovascular) เป็นการใช้ขดลวดใส่เข้าไปในหลอดเลือดที่มีการตีบหรืออุดตัน หรือการทำ “stent” โดยขดลวดจะถูกใส่เข้าไปในหลอดเลือดผ่านทางขาหนีบหรือข้อมือไปยังตำแหน่งที่มีปัญหา เพื่อช่วยซ่อมแซมและทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก แต่เป็นการผ่าตัดทางหลอดเลือดโดยไม่ต้องเปิดแผลใหญ่ (minimally invasive surgery) ในทางกลับกัน การใส่ขดลวดในหลอดเลือดที่โป่งพอง จะเรียกว่าการทำ “coiling” เพื่อหยุดการไหลเวียนของเลือดเข้าไปในส่วนที่โป่งพอง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่หลอดเลือดโป่งพองจะแตกออก

 

ความเสี่ยงและความปลอดภัยในการผ่าตัดเส้นเลือดสมอง

การผ่าตัดเส้นเลือดสมองต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงและประโยชน์อย่างถี่ถ้วน โดยสิ่งที่ต้องระวังคือ ภาวะเลือดออกในสมอง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งระหว่างหรือหลังการผ่าตัด การอุดตันของหลอดเลือดจากการเกิดลิ่มเลือดในบริเวณที่ผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้เส้นเลือดตีบตันซ้ำ หรือการที่เนื้อสมองได้รับบาดเจ็บ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะอัมพาตหรือปัญหาทางระบบประสาทได้

 

โดยการป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ทำได้โดยการเลือกทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งระหว่างการผ่าตัด แพทย์จะประเมินผลการรักษา และทำการตรวจสอบการไหลเวียนของเลือด รวมถึงติดตามอาการและดูแลอย่างใกล้ชิดหลังการผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และแก้ไขได้อย่างทันท่วงที

 

ใครบ้างที่ไม่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดเส้นเลือดสมอง

ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้ารับการผ่าตัดหรือตัดต่อเส้นเลือดสมองได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีข้อจำกัดในการรักษา เช่น

  • ผู้ป่วยที่มีภาวะโรคร่วมหลายโรคที่รุนแรง อย่างโรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง หรือภาวะติดเชื้อที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งทำให้การผ่าตัดมีความเสี่ยงสูงเกินไป
  • ผู้ป่วยที่มีสมองเสียหายมาก เช่น มีภาวะสมองตายหรือเนื้อสมองเสียหายอย่างรุนแรงแล้ว การผ่าตัดอาจไม่ช่วยให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

 

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเส้นเลือดสมอง

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเส้นเลือดสมองมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อน การเตรียมตัวที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งประกอบด้วย

  1. การตรวจสุขภาพร่างกายอย่างละเอียด เช่น ตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG/EKG) ตรวจ CT Scan หรือ MRI เพื่อประเมินอาการและความซับซ้อนของโรค
  2. ผู้ป่วยบางรายอาจต้องหยุดการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด โดยอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์
  3. งดน้ำและอาหาร ก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนระหว่างการวางยาสลบ
  4. เตรียมความพร้อมทางจิตใจ เพื่อการคลายกังวล แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้พูดคุยกับทีมสุขภาพจิต

 

การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดเส้นเลือดสมอง

หลังการผ่าตัดเส้นเลือดสมอง ผู้ป่วยต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) ประมาณ 1-3 วัน หลังจากนั้นจะถูกย้ายไปยังหอผู้ป่วยทั่วไปเพื่อติดตามอาการอีกประมาณ 7 วัน และก่อนกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันปัจจัยเสี่ยงเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ เช่น การควบคุมความดันโลหิต การรักษาระดับไขมันในเลือด และการเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เส้นเลือดมีปัญหา เช่น การสูบบุหรี่ หรือการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง

 

ทั้งนี้ หากคุณหรือคนใกล้ตัวอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบเข้ารับการตรวจคัดกรองที่โรงพยาบาล เพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือรีบรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะหากมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยปวดมาก่อน กินยาแก้ปวดแล้วยังไม่หาย ให้รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะการรักษาที่รวดเร็วอย่างทันท่วงทีจะเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว และไม่ทำให้สมองเสียหายมากจนเกินไป หรือเกิดภาวะเลือดออกในสมองซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

 

 

พญ.ศรัญญา ยุทธโกวิท
ศัลยแพทย์ระบบประสาท และสมอง
โรงพยาบาลพญาไท1


แชร์

Loading...
Loading...
Loading...