การติดเชื้อไวรัสแปปปิโลมา หรือ เอชพีวี คือ การติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์จากการมีเพศสัมพันธ์ แม้ว่าการติดเชื้อเอชพีวีมักไม่แสดงอาการผิดปกติและหายได้เอง แต่ผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีการอักเสบเรื้อรัง ทำให้เกิดมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์ และทวารหนัก เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนักได้ นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัส HPV บางสายพันธุ์ ยังทำให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศได้อีกด้วย
มะเร็งปากมดลูก….โรคที่พบได้บ่อยในหญิงไทย
มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบบ่อยในหญิงไทย โดยสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกเกือบทั้งหมดเกิดจากการติดเชื้อเอชพีวี รวมทั้งในบางสายพันธุ์ ยังทำให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศได้อีกด้วย ซึ่งสายพันธุ์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อย คือ สายพันธุ์ 16, 18 ส่วนสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศได้บ่อย คือสายพันธุ์ 6 และ11 แต่อย่างไรก็ตามเชื้อ HPV นั้นมีมากกว่าแค่ 4 สายพันธุ์ ดังนั้นวัคซีนป้องกันไวรัสแปปปิโลมา หรือป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
วัคซีนป้องกันไวรัสแปปปิโลมา (เอชพีวี) ในปัจจุบันนี้มีวัคซีนอยู่ 3 ชนิด ได้แก่
- ชนิด 9 สายพันธุ์ (ชื่อทางการค้า Gardasil) ครอบคลุมการติดเชื้อสายพันธุ์ 6,11,16,18,31,33,45,52 และ 58 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอ รวมถึงหูดหงอนไก่ ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 3 ครั้ง ที่ 0, 2 และ 6 เดือน
- ชนิด 4 สายพันธุ์ (ชื่อทางการค้า Gardasil) ครอบคลุมการติดเชื้อสายพันธุ์ 6, 11, 16, 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็ง และหูดบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 3 ครั้ง ที่ 0, 2 และ 6 เดือน
- ชนิด 2 สายพันธุ์ (ชื่อทางการค้า Cervarix) ครอบคลุมการติดเชื้อสายพันธุ์ 16, 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งบริเวณอวัยวะเพศ ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 3 ครั้ง ที่ 0, 1 และ 6 เดือน
ผู้ที่ “ควร” ได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี
- แนะนำฉีดวัคซีนแก่หญิงอายุ 9-26 ปี สำหรับหญิงอายุมากกว่า 26 ปีนั้น ให้พิจารณาเป็นรายๆ ไป โดยการฉีดวัคซีนจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด หากฉีดก่อนการติดเชื้อหรือมีเพศสัมพันธ์ แต่หากเคยมีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังสามารถฉีดวัคซีนได้ เพียงแต่ประสิทธิภาพอาจลดลงหรือได้ผลไม่ได้ดีเท่าผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน
- ในวัยรุ่นที่แข็งแรงดี หากฉีดเข็มแรกก่อนอายุ 15 ปี ให้ฉีด 2 เข็มได้ ที่ 0, 6-12 เดือน
ผู้ที่ “ควรงด” รับวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี
- เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงจากการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวีในครั้งก่อน หรือแพ้ส่วนผสมต่าง ๆ ในวัคซีน
- หญิงตั้งครรภ์
- หากมีไข้ เจ็บป่วยเฉียบพลัน ควรเลื่อนการรับวัคซีนออกไปก่อน รอให้หายป่วยก่อนจึงค่อยมารับวัคซีน
- กรณีเป็นหวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ สามารถรับวัคซีนได้
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังรับวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี
- อาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ อย่างไรก็ตามอาการแพ้อย่างรุนแรงจากวัคซีนพบได้น้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่ของผู้ที่รับวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวีมักไม่มีปัญหาใดๆ
- ปฏิกิริยาที่อาจพบหลังฉีดวัคซีน ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว คัน ปวด บวมแดงบริเวณที่ฉีดวัคซีน ซึ่งสามารถประคบเย็นได้ และมักหายเองภายใน 1-2 วัน
- ถ้ามีอาการผิดปกติอื่นนอกเหนือจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์
หมายเหตุ :
- การฉีดวัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ สามารถฉีดได้ในหญิงให้นมบุตร
- การฉีดวัคซีนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัคซีนยังไม่สามารถป้องกันเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดมะเร็งหรือหูดได้ทั้งหมด ผู้ที่ได้รับวัคซีนยังต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี โดยการมีคู่นอนคนเดียว ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- บางประเทศ อนุญาตให้ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์ในผู้ชาย เพื่อป้องกันหูดบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก
- กรณีแพ้ยีสต์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของวัคซีน 4 สายพันธุ์ สามารถใช้วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ได้
- หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์