มะเร็งปากมดลูก ภัยร้ายที่ผู้หญิงควรรู้และวิธีสังเกตอาการ
มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) เป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงลำดับต้น ๆ ที่สาว ๆ ควรตระหนักและระวังเป็นพิเศษเลยก็ว่าได้ เพราะผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นผู้หญิงส่วนใหญ่จะถูกตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งรองลงมาจากมะเร็งเต้านม โดยต้นตอของมะเร็งปากมดลูกนั้นมาจากเชื้อไวรัสที่เกิดขึ้นระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ผู้ป่วยที่รับเชื้อมาในระยะแรกมักจะไม่รู้ตัว เพราะอาการยังไม่ปรากฎแน่ชัด ส่วนใหญ่แล้วโรคจะแสดงอาการเมื่อผู้ป่วยมีอายุ 30-50 ปีนั่นเอง
ดังนั้น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก หากพบเจอความผิดปกติตั้งแต่อายุยังน้อย ผู้ป่วยก็มีโอกาสที่จะรักษาได้ทัน ซึ่งผู้หญิงทุกคนสามารถเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ร่างกายแสดงอาการผิดปกติ ยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไร ยิ่งแก้ปัญหาได้เร็วเท่านั้น
มะเร็งปากมดลูก คืออะไร ทำไมถึงอันตราย
มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) คือ เซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณมดลูกส่วนล่างใกล้เคียงกับช่องคลอด โดยเซลล์มะเร็งนี้มีต้นกำเนิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Human Papillomavirus หรือที่เรียกติดปากกันว่า เชื้อ HPV เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หากผู้ป่วยได้รับเชื้อดังกล่าวเข้าไป จะส่งผลให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกมีความผิดปกติ และนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งในที่สุด
มะเร็งปากมดลูก มีวิธีสังเกตอาการอย่างไร
หากยังไม่เคยเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ผู้ป่วยสามารถประเมินความเสี่ยงของตัวเองได้ง่าย ๆ จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อสังเกตอาการผิดปกติเบื้องต้นของตัวเอง ดังนี้
อาการผิดปกติหลังมีประจำเดือน ที่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า เช่น ตกขาวที่มีปริมาณมากเกินไปหรือตกขาวที่มีเลือดปน ซึ่งตกขาวที่ปกตินั้นจะมีสีใส ไม่มีกลิ่นเหม็น และไม่มีอาการคันหรือระคายเคือง
อาการผิดปกติระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ที่พบได้บ่อย คือ มีเลือดออกจากช่องคลอดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงมีอาการเจ็บร่วมด้วย
อาการผิดปกติที่พบได้จากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น รู้สึกปวดท้องน้อยแบบหน่วง ๆ ปวดหลังร้าวไปถึงอุ้งเชิงกราน ปัญหาการขับถ่ายที่ยากกว่าปกติ ปัสสาวะและอุจจาระมีเลือดปน รู้สึกเบื่ออาหาร มีอาการอ่อนเพลียระหว่างวัน เหนื่อยง่าย ไม่มีความกะปรี้กะเปร่า บางรายมีอาการขาบวม เนื่องจากเชื้อมะเร็งอาจลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งปากมดลูก มีกี่ระยะ อาการเป็นอย่างไร
หลาย ๆ คนยังมีความสงสัยกันว่า มะเร็งปากมดลูกรักษาหายไหม ? ซึ่งก่อนไปถึงขั้นตอนการรักษา ต้องทำการตรวจหาระยะของมะเร็งปากมดลูกก่อน ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเช็กด้วยการตัดชิ้นเนื้อบริเวณปากมดลูกออกไปตรวจ และประเมินว่าเชื้อได้ลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ มากน้อยเพียงใด เพื่อวางแผนและทำการรักษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโรคต่อไป
- มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 1 (เริ่มต้น)
เชื้อมะเร็งยังอยู่ในเยื่อบุบริเวณปากมดลูกเท่านั้น ซึ่งระยะนี้แพทย์สามารถประเมินขนาดของเนื้องอกได้ผ่านกล้องจุลทรรศน์ ถึงแม้ว่าขนาดเนื้องอกจะใหญ่ขึ้นมากเพียงใด แต่เชื้อก็ยังคงอยู่แค่มดลูกเท่านั้น ยังไม่เกิดการลุกลามไปสู่อวัยวะอื่น ๆ
- มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 2 (กระจาย)
เชื้อมะเร็งเริ่มแพร่กระจายไปสู่อวัยวะใกล้เคียงกับปากมดลูก เช่น เนื้อเยื่อข้างปากมดลูกและผนังช่องคลอดส่วนบน แต่ยังไม่ลุกลามไปสู่อุ้งเชิงกราน ซึ่งในระยะนี้แพทย์สามารถรักษาโดยการตัดมดลูกออกได้ แต่ในผู้ป่วยบางรายที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ แพทย์จะทำการฉายรังสีให้แทน
- มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 3 (ลุกลาม)
เชื้อมะเร็งได้ลุกลามไปยังบริเวณอุ้งเชิงกรานและผนังช่องคลอดส่วนล่าง ซึ่งระยะนี้อาจส่งผลร้ายต่อไตและต่อมน้ำเหลืองได้ เนื่องจากเนื้องอกได้ไปกดบริเวณท่อไตจนเกิดภาวะบวมน้ำนั่นเอง โดยแพทย์จะรักษาโดยการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกรานออกและตามด้วยการฉายรังสี/เคมีบำบัด
- มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 4 (สุดท้าย)
เป็นระยะสุดท้ายที่อันตรายมากที่สุด เนื่องจากเชื้อมะเร็งได้ลุกลามไปยังกระเพาะปัสสาวะ ทวารหนัก ลำไส้ตรง รวมถึงอวัยวะส่วนอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น กระดูก ปอด ต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ ซึ่งระยะนี้จะต้องใช้การรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือ คีโม (Chemotherapy) เท่านั้น
จะเห็นว่าความน่ากลัวของมะเร็งปากมดลูกจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาการแพร่กระจายของเชื้อมะเร็ง ดังนั้น ผู้หญิงทุกคนควรจะใส่ใจเรื่องการตรวจภายในและวางแผนเรื่องการฉีดวัคซีน HPV รวมถึงเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ทันทีโดยไม่ต้องรอร่างกายแสดงอาการผิดปกติ
มะเร็งปากมดลูก เป็นแล้วรักษาอย่างไร
หลายคนอาจคิดว่าการรักษามะเร็งปากมดลูกนั้นมีความซับซ้อนและยากเกินกว่าจะเข้าใจ ดังนั้น ผู้ป่วยสามารถรู้ได้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งระยะไหนและเชื้อได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ แล้วหรือยัง ซึ่งรับรู้ได้จากการวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์จะประเมินความรุนแรงของโรคและกำหนดทิศทางการรักษาให้กับผู้ป่วยได้ ซึ่งในปัจจุบัน การรักษาโรคมะเร็งมีพัฒนาการด้านเทคนิคที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงง่าย ทั้งการผ่าตัด การฉายแสง รวมถึงยาต้านมะเร็งชนิดต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นทางเลือกใหม่ ๆ ในการรักษา ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน
ผู้ป่วยที่มาเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก จะถูกส่งตัวไปวินิจฉัยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางนรีเวช ณ ศูนย์สุขภาพหญิง หากผลการตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก แพทย์จะนำผลการวินิจฉัยเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ MDT Cancer ซึ่งเป็นทีมบุคลากรทางการแพทย์สาขาต่าง ๆ ทั้งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบนรีเวช ด้านรังสีวินิจฉัย รังษีรักษา ด้านพยาธิวิทยา และอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษามะเร็งด้วยยา
โดยทีมแพทย์จะร่วมกันวางแผนการรักษาในรูปแบบคนไข้แบบเฉพาะบุคคล ณ ศูนย์มะเร็งชีวีสุข ศูนย์ที่มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยเข้าใกล้โอกาสหายและป้องกันการกลับมาของมะเร็ง โดยแพทย์จะวางแผนการให้ยารักษาแบบเจาะจง (Precision Cancer Medicine) เพื่อให้ตรงกับสาเหตุการเกิดมะเร็ง ซึ่งแผนการรักษาดังกล่าวสามารถแบ่งวิธีได้หลายประเภท เช่น การให้ยาฮอร์โมน การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด หรือการรักษาโดยเซลล์บำบัด โดยทางศูนย์มะเร็งชีวีสุขจะประเมินการรักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อการรักษาคนไข้มากที่สุด