โรคอีสุกอีใส (Chickenpox, Varicella)

พญาไท 2

2 นาที

พ. 01/04/2020

แชร์


โรคอีสุกอีใส (Chickenpox, Varicella)
โรคอีสุกอีใส เป็นโรคติดต่อที่มาด้วยอาการไข้ ออกผื่น พบมากในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ โดยทั่วไปจะพบอัตราการป่วยได้สูงสุดในกลุ่มอายุ 5-9 ปี รองลงมาคือ 0-4 ปี, 10-14 ปี, 15-24 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ ในคนที่อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปอาจพบได้บ้าง โรคนี้มีโอกาสเกิดได้ใกล้เคียงกันทั้งหญิงและชาย ซึ่งมักจะเป็นคนที่ไม่เคยป่วยเป็นโรคนี้ หรือไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน

 

โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่ระบาดแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วไป สามารถพบได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีอุบัติการณ์เกิดสูงสุดในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน

โรคอีสุกอีใสเกิดจากอะไร ?

อีสุกอีใสเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า “ไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์” (Varicella zoster virus – VZV) หรือ Human herpesvirus type 3 (HHV-3) โดยเชื้อนี้จะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใสในผู้ที่เพิ่งติดเชื้อเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท เมื่ออายุมากขึ้นหรือภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อที่หลบซ่อนอยู่ก็จะเจริญเติบโตขึ้นใหม่และก่อให้เกิดโรคงูสวัดได้

 

การติดต่อของโรคอีสุกอีใส

ติดต่อโดยการหายใจเอาฝอยละอองจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยเข้าไป หรือจากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำที่ผิวหนังของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ โดยระยะเวลาแพร่เชื้อจะอยู่ในช่วง 1-2 วันก่อนผื่นขึ้น จนกระทั่งผื่นตกสะเก็ดหมด ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังในการอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย

 

ระยะฟักตัวของโรคอีสุกอีใส

  • ประมาณ 10-21 วัน แต่โดยเฉลี่ยคือประมาณ 14-17 วัน หลังจากได้รับเชื้อโรค หรือสัมผัสผู้ป่วย

 

อาการของโรคอีสุกอีใส

  • เริ่มจากมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีผื่นขึ้นเริ่มจากลำตัว ใบหน้า และลามไปที่แขนขา ผื่นจะขึ้นบริเวณลำตัวมากกว่าแขนขา อาจพบตุ่มในช่องปากและเยื่อบุต่างๆ ลักษณะผื่นตอนแรกจะเป็นผื่นแดง มักมีอาการคันร่วมด้วย ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำอย่างรวดเร็วและตกสะเก็ด ในที่สุดสะเก็ดจะหลุดหายไปในเวลา 5-20 วัน

 

การวินิจฉัยโรคอีสุกอีใส

โดยทั่วไปแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการตรวจร่างกาย โดยดูจากลักษณะอาการสำคัญของโรค ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม ยกเว้นในผู้ป่วยที่เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อน หรือในกรณีจำเป็นต้องวินิจฉัยให้แน่ชัด แพทย์จะทำการทดสอบน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไวรัสอีสุกอีใส หรือตรวจหาเชื้อจากตุ่มน้ำ

 

ภาวะแทรกซ้อนมีอาจเกิดขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนมักพบได้น้อย โดยเฉพาะในในเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติทั่วไป
  • แต่ถ้าเป็นในผู้ใหญ่ อาจพบภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น ที่พบได้บ่อยคือ การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจนกลายเป็นหนองและอาจทำให้เป็นแผลเป็นได้
  • ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงแต่พบได้น้อย คือ ปอดอักเสบ สมองอักเสบ
  • ในหญิงตั้งครรภ์ถ้าเป็นโรคสุกใสในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก อาจทำให้เด็กในครรภ์พิการได้ เรียกว่า “กลุ่มอาการอีสุกอีใสแต่กำเนิด” (Congenital varicella syndrome) ทำให้มีแผลเป็นตามตัว แขนขาลีบ ตาเล็ก ต้อกระจก ศีรษะเล็ก ปัญญาอ่อน เป็นต้น
  • นอกจากนี้ ถ้าเป็นในระยะก่อนคลอด 5 วัน หรือหลังคลอด 2 วัน อาจทำให้ทารกที่เกิดมาเป็นอีสุกอีใสชนิดรุนแรงได้
  • เมื่อผู้ป่วยหายจากโรคสุกใสแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทต่าง และทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ เมื่อภูมิต้านทานของร่างกายลดลงร่างกายอ่อนแอ แก่ตัวลง หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ

 

วิธีรักษาโรคอีสุกอีกใส

  • ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง และหายเองได้
  • การรักษาด้วยยาต้านไวรัสอาจทำให้ระยะเวลาการเป็นโรคสั้นลง หากผู้ป่วยได้รับภายใน 24 ชั่วโมงหลังผื่นขึ้น ซึ่งผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รัยยาต้านไวรัสทุกราย แพทย์มักพิจารณาให้ในรายที่มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
  • ถ้าไข้สูง ให้เช็ดตัวลดไข้ อาจให้ยาลดไข้ในกลุ่มพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยากลุ่มแอสไพลินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไรย์ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดความผิดปกติทางสมองและตับอย่างรุนแรง
  • แพทย์อาจพิจารณาให้รับประทานยากลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน หรือทาคาลาไมน์ เพื่อบรรเทาอาการคัน
  • ระวังอย่าให้ผู้ป่วยเกา เพราะอาจเป็นแผลติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ แนะนำผู้ป่วยตัดเล็บให้สั้น

 

การป้องกันการแพร่กระจายโรค

  • ผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสควรแยกตัวจากผู้อื่น โดยหยุดเรียนหรือหยุดงานจนกว่าผื่นตกสะเก็ดหมด ไม่ควรใกล้ชิดผู้อื่นโดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ เด็กทารก และผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ

 

วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส

เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นฉีดเข้าที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ในผู้ใหญ่และเด็กอายุเกิน 12 ปี ต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ เนื่องจากวัคซีนเป็นชนิดเชื้อเป็นจึงมีข้อห้ามในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ที่รับประทานยากดภูมิต้านทาน ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ยังไม่ได้รักษา และหญิงมีครรภ์

ในเด็กที่ไม่มีข้อบ่งห้าม สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-15 เดือนขึ้นไป และฉีดกระตุ้นอีกครั้งที่อายุ 4-6 ปี หรืออาจฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งภูมิต้านทานจะขึ้นดีกว่าการฉีดเพียง 1 เข็ม

เมื่อฉีดครบ 2 เข็มพบว่า 99% ของผู้รับวัคซีนจะเกิดภูมิต้านทานต่อโรค ผู้ที่ได้รับวัคซีนส่วนหนึ่งยังอาจเกิดโรคอีสุกอีใสได้ แต่อาการจะไม่รุนแรง เช่น อาจไม่มีไข้ หรือจำนวนผื่นน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่เคยรับวัคซีน

ในปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสให้อยู่ในรูปแบบของวัคซีนที่รวมอยู่ในเข็มเดียวกัน ได้แก่ วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน และอีสุกอีใส (MMRV) ทำให้สะดวกและไม่ต้องเจ็บตัวบ่อย


แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ




Loading...