โรคอีสุกอีใสเกิดจากอะไร ?
อีสุกอีใสเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า “ไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์” (Varicella zoster virus – VZV) หรือ Human herpesvirus type 3 (HHV-3) โดยเชื้อนี้จะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใสในผู้ที่เพิ่งติดเชื้อเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท เมื่ออายุมากขึ้นหรือภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อที่หลบซ่อนอยู่ก็จะเจริญเติบโตขึ้นใหม่และก่อให้เกิดโรคงูสวัดได้
การติดต่อของโรคอีสุกอีใส
ติดต่อโดยการหายใจเอาฝอยละอองจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยเข้าไป หรือจากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำที่ผิวหนังของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ โดยระยะเวลาแพร่เชื้อจะอยู่ในช่วง 1-2 วันก่อนผื่นขึ้น จนกระทั่งผื่นตกสะเก็ดหมด ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังในการอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย
ระยะฟักตัวของโรคอีสุกอีใส
- ประมาณ 10-21 วัน แต่โดยเฉลี่ยคือประมาณ 14-17 วัน หลังจากได้รับเชื้อโรค หรือสัมผัสผู้ป่วย
อาการของโรคอีสุกอีใส
- เริ่มจากมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีผื่นขึ้นเริ่มจากลำตัว ใบหน้า และลามไปที่แขนขา ผื่นจะขึ้นบริเวณลำตัวมากกว่าแขนขา อาจพบตุ่มในช่องปากและเยื่อบุต่างๆ ลักษณะผื่นตอนแรกจะเป็นผื่นแดง มักมีอาการคันร่วมด้วย ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำอย่างรวดเร็วและตกสะเก็ด ในที่สุดสะเก็ดจะหลุดหายไปในเวลา 5-20 วัน
การวินิจฉัยโรคอีสุกอีใส
โดยทั่วไปแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการตรวจร่างกาย โดยดูจากลักษณะอาการสำคัญของโรค ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม ยกเว้นในผู้ป่วยที่เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อน หรือในกรณีจำเป็นต้องวินิจฉัยให้แน่ชัด แพทย์จะทำการทดสอบน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไวรัสอีสุกอีใส หรือตรวจหาเชื้อจากตุ่มน้ำ
ภาวะแทรกซ้อนมีอาจเกิดขึ้น
- แต่ถ้าเป็นในผู้ใหญ่ อาจพบภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น ที่พบได้บ่อยคือ การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจนกลายเป็นหนองและอาจทำให้เป็นแผลเป็นได้
- ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงแต่พบได้น้อย คือ ปอดอักเสบ สมองอักเสบ
- ในหญิงตั้งครรภ์ถ้าเป็นโรคสุกใสในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก อาจทำให้เด็กในครรภ์พิการได้ เรียกว่า “กลุ่มอาการอีสุกอีใสแต่กำเนิด” (Congenital varicella syndrome) ทำให้มีแผลเป็นตามตัว แขนขาลีบ ตาเล็ก ต้อกระจก ศีรษะเล็ก ปัญญาอ่อน เป็นต้น
- นอกจากนี้ ถ้าเป็นในระยะก่อนคลอด 5 วัน หรือหลังคลอด 2 วัน อาจทำให้ทารกที่เกิดมาเป็นอีสุกอีใสชนิดรุนแรงได้
- เมื่อผู้ป่วยหายจากโรคสุกใสแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทต่าง และทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ เมื่อภูมิต้านทานของร่างกายลดลงร่างกายอ่อนแอ แก่ตัวลง หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ
วิธีรักษาโรคอีสุกอีกใส
- ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง และหายเองได้
- การรักษาด้วยยาต้านไวรัสอาจทำให้ระยะเวลาการเป็นโรคสั้นลง หากผู้ป่วยได้รับภายใน 24 ชั่วโมงหลังผื่นขึ้น ซึ่งผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รัยยาต้านไวรัสทุกราย แพทย์มักพิจารณาให้ในรายที่มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
- ถ้าไข้สูง ให้เช็ดตัวลดไข้ อาจให้ยาลดไข้ในกลุ่มพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยากลุ่มแอสไพลินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไรย์ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดความผิดปกติทางสมองและตับอย่างรุนแรง
- แพทย์อาจพิจารณาให้รับประทานยากลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน หรือทาคาลาไมน์ เพื่อบรรเทาอาการคัน
- ระวังอย่าให้ผู้ป่วยเกา เพราะอาจเป็นแผลติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ แนะนำผู้ป่วยตัดเล็บให้สั้น
การป้องกันการแพร่กระจายโรค
- ผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสควรแยกตัวจากผู้อื่น โดยหยุดเรียนหรือหยุดงานจนกว่าผื่นตกสะเก็ดหมด ไม่ควรใกล้ชิดผู้อื่นโดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ เด็กทารก และผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ
วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส
เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นฉีดเข้าที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ในผู้ใหญ่และเด็กอายุเกิน 12 ปี ต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ เนื่องจากวัคซีนเป็นชนิดเชื้อเป็นจึงมีข้อห้ามในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ที่รับประทานยากดภูมิต้านทาน ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ยังไม่ได้รักษา และหญิงมีครรภ์
ในเด็กที่ไม่มีข้อบ่งห้าม สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-15 เดือนขึ้นไป และฉีดกระตุ้นอีกครั้งที่อายุ 4-6 ปี หรืออาจฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งภูมิต้านทานจะขึ้นดีกว่าการฉีดเพียง 1 เข็ม
เมื่อฉีดครบ 2 เข็มพบว่า 99% ของผู้รับวัคซีนจะเกิดภูมิต้านทานต่อโรค ผู้ที่ได้รับวัคซีนส่วนหนึ่งยังอาจเกิดโรคอีสุกอีใสได้ แต่อาการจะไม่รุนแรง เช่น อาจไม่มีไข้ หรือจำนวนผื่นน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่เคยรับวัคซีน
ในปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสให้อยู่ในรูปแบบของวัคซีนที่รวมอยู่ในเข็มเดียวกัน ได้แก่ วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน และอีสุกอีใส (MMRV) ทำให้สะดวกและไม่ต้องเจ็บตัวบ่อย