รู้ไหมว่า หนึ่งในอาการเริ่มต้นของ “มะเร็งลำไส้” เริ่มจากมีอาการท้องผูกสลับกับอาการท้องเสียโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งที่ไม่ได้ไปกินอาหารที่มีความเสี่ยงทำให้ท้องเสีย บางคนกินผักผลไม้เป็นประจำด้วยซ้ำไปแต่ทำไมยังท้องผูก หรือบางคนอาจจะมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ถ้าคุณเองก็มีอาการแบบนี้ต้องรีบหาสาเหตุที่แท้จริงให้เจอก่อนที่จะสายเกินไป
ตรวจสอบอาการเบื้องต้นให้แน่ใจ
- ลองสังเกตพฤติกรรมการรับประทานอาหารของตัวเองเป็นประจำ เช่น ช่วงนั้นดื่มน้ำน้อยเกินไปหรือเปล่า ทานแต่แป้ง หรือเนื้อสัตว์มากเกินไปทำให้ย่อยยาก นั่งอยู่กับที่นานเกินไป หรือการทานยาบางชนิดก็ทำให้ท้องผูกได้ ลองเปลี่ยนพฤติกรรมมาทานอาหารที่ช่วยระบบย่อยให้ดีขึ้น เช่น มะละกอ กล้วยน้ำว้าสุก ลูกพรุน สับปะรด เม็ดแมงลัก เป็นต้น แล้วดูว่าอาการท้องผูกดีขึ้นหรือไม่ หรือถ้ามีอาการท้องเสียก็ให้ลองสังเกตว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ เช่น ทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ทานอาหารรสจัดเกินไป บางคนอาจจะแพ้อาหารบางชนิด เช่น นม ดื่มแล้วทำให้ท้องเสียได้ เป็นต้น
- หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือทราบสาเหตุแล้ว แต่ยังมีอาการท้องผูก สลับกับท้องเสียอย่างต่อเนื่องติดต่อกันนานหลายสัปดาห์ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงจะดีที่สุด จะได้รู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ และไม่ควรปล่อยให้มีอาการแบบนี้ติดต่อกันไปนานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อลดความเสี่ยงของ “มะเร็งลำไส้” ที่เริ่มต้นด้วยอาการนี้นั่นเอง
สัญญาณเตือนเล็กๆ ก่อนเป็นมะเร็งลำไส้
หลากหลายอาการเหล่านี้ เป็นแค่จุดเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของมะเร็งลำไส้ ที่หลายคนมองข้าม มาดูสิว่ามีอะไรบ้าง
- ระบบขับถ่ายมีความผิดปกติ คือ ท้องผูกสลับท้องเสีย เป็นๆ หายๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
- คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนใหญ่เป็นคนไม่ชอบทานผัก-ผลไม้ แต่จะชอบมากกับการทานอาหารไขมันสูงและเนื้อสัตว์ ชอบอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด ของทอด ปิ้ง-ย่าง หรืออาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์กับร่างกาย
- บางคนเป็นโรคลำไส้แปรปรวน หรือมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ร่วมกับอาการปวดท้องน้อยหน่วงๆ ผิดปกติ
- ทานอาหารปริมาณเท่าเดิม แต่น้ำหนักกลับลดลง แบบนี้แสดงถึงความผิดปกติบางอย่างแน่นอน
- ลองสังเกตเวลาถ่ายอุจจาระ ส่วนใหญ่มักจะมีมูกเลือดปะปนมาด้วยเสมอ
- บางคนอาจมีอาการเลือดออกในทางเดินอาหารร่วมด้วย
- ใช้มือคลำช่องท้องช่วงล่าง อาจรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้อเกิดขึ้น
- ไม่ค่อยผายลม
- เวลาถ่ายอุจจาระ มักจะมีอาการถ่ายไม่สุด
ใครเช็คดูแล้วตรงกับอาการที่เป็นหลายข้อ แนะนำว่าอย่าปล่อยปละละเลยด้วยเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ หลายๆ คนที่เริ่มต้นเป็นมะเร็งลำไส้ หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ยังสามารถรักษาหายได้ แค่ต้องรู้จักสังเกตตัวเองเป็นประจำเท่านั้นเอง
ทางเลือกการรักษา “มะเร็งลำไส้”
การจัดการกับมะเร็งลำไส้คล้ายกับการจัดการมะเร็งในส่วนอื่นๆ คือการใช้ยาเคมีบำบัด การใช้รังสีรักษา และการผ่าตัด แต่การจะเลือกใช้วิธีไหนนั้นขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ และอาการของผู้ป่วยว่าอยู่ในระยะไหน หากจะแบ่งระยะของมะเร็งลำไส้ก็คงแบ่งได้เป็น 4 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1 มะเร็งอยู่แค่ภายในผนังของลำไส้
- ระยะที่ 2 มะเร็งลุกลามออกนอกผนังลำไส้ไปบริเวณใกล้เคียง
- ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง
- ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย
การใช้ยาเคมีบำบัด สามารถเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง และยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งได้ ช่วยควบคุมไม่ให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ แต่การใช้ยาเคมีบำบัดสามารถจัดการได้มะเร็งได้กับระยะแรกๆ เท่านั้น อาจมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และผมร่วง เป็นต้น แต่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
การใช้รังสี หรือการฉายรังสีก็เข้าไปยับยั้ง และทำลายเซลล์มะเร็งเช่นเดียวกับการใช้ยาเคมีบำบัด
การผ่าตัด อีกหนึ่งทางเลือกในการจัดการมะเร็งลำไส้ เป็นการผ่าตัดลำไส้ส่วนที่เป็นมะเร็งออกไป พร้อมกับเอาเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็งออก ยับยั้งเซลล์มะเร็งไม่ให้โตและกระจายไปยังส่วนอื่นๆ รวมถึงตัดเนื้อในลำไส้บางส่วนที่คาดว่าจะเป็นเซลล์มะเร็งมีโอกาสแพร่กระจายมาออกไป เพื่อตัดโอกาสการเป็นมะเร็งซ้ำในลำไส้ การผ่าตัดมะเร็งลำไส้ในปัจจุบันไม่ได้มีความน่ากลัวอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลที่หน้าท้องเป็นรอยยาว 4 – 5 ซม. แต่ใช้การผ่าตัดด้วยการเจาะรูที่หน้าท้องเป็นรูเล็กๆ ขนาดเพียง 0.5 – 1 ซม. เท่านั้น หรือเรียกง่ายๆ ก็คือการผ่าตัดแผลเล็ก MIS (Minimally Invasive Surgery) นั่นเอง
การรักษานี้ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วมากขึ้น เพราะแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว เสียเลือดน้อย และในระหว่างการผ่าตัดนั้นกล้องที่ใช้มีกำลังขยายสูงทำให้เห็นรายละเอียดตำแหน่งของมะเร็งที่จะผ่าตัดได้อย่างชัดเจน ลดภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดได้ดี ดังนั้น การผ่าตัดรักษามะเร็งลำไส้แบบแผลเล็กจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการจัดการกับมะเร็งลำไส้ แต่การใช้ยาเคมีบำบัดและการฉายรังสีก็รักษามะเร็งได้ แต่อาจเป็นเพียงการเสริมเพื่อช่วยให้หายขาดจากมะเร็งได้