มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal Cancer) เป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ทั่วโลก โดยพบเป็นอันดับ 2 ในผู้ชาย และอันดับ 3 ในผู้หญิง เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ใหญ่หรือทวารหนักเจริญเติบโตไปเป็นติ่งเนื้อ และกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาหรือป้องกันอย่างทันท่วงที เซลล์ผิดปกติเหล่านี้อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็งระยะลุกลาม และแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
- อายุที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่จะสูงขึ้นเมื่ออายุเกิน 45 ปี แต่ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะพบในคนอายุน้อยเพิ่มมากขึ้น
- พันธุกรรมและประวัติครอบครัว หากมี พ่อ แม่ พี่น้อง หรือญาติสายตรง เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โอกาสเกิดโรคจะสูงขึ้น นอกจากนี้กลุ่มที่มีภาวะทางพันธุกรรมผิดปกติ เช่น Lynch syndrome หรือ Familial Adenomatous Polyposis (FAP) จะมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงกว่าคนทั่วไป
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease – IBD) ผู้ที่เป็น โรค Crohn’s disease หรือ Ulcerative colitis จะมีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงขึ้นกว่าปกติ
- อาหารและการบริโภค การรับประทาน อาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะจาก เนื้อแดง และอาหารแปรรูป (เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม) มีข้อมูลว่าสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ รวมถึงอาหารปิ้งย่างหรือไหม้เกรียมซึ่งมีสารกระตุ้นมะเร็งก็พบว่าเพิ่มความเสี่ยงเช่นกัน
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต การขาดการออกกำลังกายและภาวะน้ำหนักเกินอาจส่งผลต่อการเกิดโรคนี้ได้
อาการและสัญญาณเตือน มะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการที่ไม่ชัดเจน ทำให้การตรวจพบระยะเริ่มต้นเป็นเรื่องยาก และเมื่อมีอาการมากขึ้น เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือลำไส้อุดตัน ก็มักพบว่าเป็นระยะที่ลุกลามแล้ว “การคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่จึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด”
อาการที่ควรระวัง
- การเปลี่ยนแปลงลักษณะการขับถ่าย เช่น ท้องผูก สลับท้องเสีย อุจจาระก้อนเล็กลง หรือลักษณะอุจจาระเปลี่ยนแปลงไป
- การมีเลือดปนในอุจจาระ อุจจาระปนเลือดสดๆ หรือเลือดสีคล้ำมาก
- อาการอ่อนเพลียและน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อาการปวดท้องหรือรู้สึกไม่สบายในบริเวณท้อง
- อ่อนเพลียหรืออ่อนแรง
- ซีด โลหิตจาง
การตรวจวินิจฉัยหามะเร็งลำไส้ใหญ่
สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- การตรวจสุขภาพเบื้องต้น แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบประวัติสุขภาพและอาการของ ผู้ป่วย จากนั้นอาจสั่งให้ทำการตรวจเลือดและตรวจอุจจาระเพื่อหาความผิดปกติ เช่น การตรวจพบซีด หรือเลือดแอบแฝงในอุจจาระ
- การส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy) เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงในการตรวจหามะเร็งหรือติ่งเนื้อ (Polyp) ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งนอกจากการช่วยในการวินิจฉัยแล้วยังสามารถตัดชิ้นเนื้อที่ผิดปกติออกมาตรวจทางพยาธิวิทยาได้ด้วย
- การตรวจภาพรังสีด้วย CT scan, CT colonoscopy หรือ MRI เป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการคัดกรองประเมินระยะการแพร่กระจายของโรค (staging) รวมถึงช่วยวางแผนในการรักษา
- การตรวจ stool DNA test หรือการตรวจ DNA ของเซลล์มะเร็งในเลือด เป็นการตรวจหา DNA ที่เกิดขึ้นจากเซลล์มะเร็งที่หลุดออกมาในปนอุจจาระหรือกระแสเลือด
วิธีการรักษา
สำหรับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มต้น สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการผ่าตัดผ่านกล้อง (minimally invasive surgery) โดยมีแนวทางดังนี้
- การตัดติ่งเนื้อโดยการส่องกล้อง ซึ่งสามารถทำได้โดยการ Polypectomy และ Endoscopic Mucosal Resection โดยหากพบติ่งเนื้อที่มีเซลล์มะเร็งขนาดเล็ก แพทย์จะตัดติ่งเนื้อออกโดยการส่องกล้อง ซึ่งสามารถนำติ่งเนื้อออกได้ทั้งหมด วิธีนี้เหมาะสำหรับรักษามะเร็งในระยะเริ่มต้น
- การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) เมื่อมีติ่งเนื้อที่ไม่สามารถตัดออกได้ในระหว่างการส่องกล้อง แพทย์จะทำการผ่าตัดลำไส้ส่วนที่มีมะเร็งออกโดยการเจาะรูขนาดเล็กที่ผนังหน้าท้อง และในขั้นตอนนี้ยังสามารถเก็บตัวอย่างต่อมน้ำเหลืองเพื่อไปตรวจหาการกระจายของมะเร็งได้
- การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง (Colorectal Surgery) เป็นวิธีมาตรฐานในการผ่าตัดเพื่อเอาก้อนมะเร็งออกจากร่างกาย
- เคมีบำบัด (Chemotherapy) ใช้ยาเคมีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งมักใช้ในกรณีที่มะเร็งลุกลามหรือมีโอกาสที่จะกลับเป็นซ้ำหลังการผ่าตัด
- รังสีบำบัด (Radiation Therapy) เป็นการใช้รังสีเอ็กซ์หรือโปรตอนเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง โดยในบางกรณีแพทย์อาจใช้รังสีรักษาก่อนการผ่าตัดเพื่อลดขนาดก้อนมะเร็งให้ง่ายต่อการผ่าตัด
- ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) การรักษาประเภทนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถต่อสู้และกำจัดเซลล์มะเร็งได้ เนื่องจากเซลล์มะเร็งมักผลิตโปรตีนที่ช่วยปิดกั้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน เมื่อมีการตรวจพบเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดจะทำหน้าที่แทรกแซงกระบวนการผลิตโปรตีนในเซลล์มะเร็ง ซึ่งจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันกลับมามีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับมะเร็งอีกครั้ง แพทย์มักแนะนำวิธีการรักษานี้ในผู้ป่วยที่มะเร็งได้แพร่กระจาย โดยจะมีการประเมินว่าผู้ป่วยจะตอบสนองต่อการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดหรือไม่
- ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) การรักษารูปแบบนี้มุ่งเน้นที่การระงับการเติบโตของเซลล์มะเร็งและการทำลายเซลล์ผิดปกติ โดยแพทย์มักใช้ร่วมกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ซึ่งเป็นแนวทางที่นิยมสำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะแพร่กระจาย
การป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
มุ่งเน้นไปที่การลดความเสี่ยงผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ โดยมีแนวทางหลัก ๆ ดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
- ลดการบริโภคเนื้อแดงและอาหารแปรรูป
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หยุดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
- ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีประวัติมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว
มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่อาจพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้เหมาะสม หมั่นสังเกตความผิดปกติของอุจจาระ การตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อมีข้อบ่งชี้ จะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลาม ลดอัตราการเสียชีวิต และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย หากท่านมีข้อสงสัย สามารถเข้ามารับคำปรึกษาได้ เพื่อให้ทุกท่านมีสุขภาพลำไส้ที่ดี และปลอดภัยจากมะเร็งลำไส้ใหญ่