โรคผมบางกรรมพันธุ์เป็นปัญหาที่พบบ่อยในทั้งผู้ชายและผู้หญิง ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โรคผมบางกรรมพันธุ์ คืออะไร ? สาเหตุมาจากอะไร ? และรักษาอย่างไรได้บ้าง ? ใครที่มีปัญหาผมบาง ผมร่วงเยอะ แล้วสงสัยว่าตนเองเป็นโรคผมบางกรรมพันธุ์หรือไม่ สามารถศึกษาข้อมูลเหล่านี้ พร้อมแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
โรคผมบางกรรมพันธุ์คืออะไร ?
โรคผมบางกรรมพันธุ์ หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Androgenetic Alopecia เป็นภาวะที่เส้นผมบางลงและร่วงหลุดอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัญหาศีรษะล้านตามมา เป็นการสูญเสียเส้นผมที่เกิดจากพันธุกรรม และฮอร์โมน โรคนี้พบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง แต่มักพบในผู้ชายมากกว่า
ลักษณะของหัวล้านกรรมพันธุ์
ลักษณะของหัวล้านกรรมพันธุ์จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง โดยทั่วไปมีลักษณะดังนี้
- ในผู้ชาย : มักเรียกว่า ” ศีรษะล้านแบบผู้ชาย ” (Male Pattern Baldness) โรคนี้มักจะเริ่มแสดงออกในรูปแบบของแนวผมที่ร่นขึ้นและผมบางกลางหัว หรือบริเวณกระหม่อม
- เส้นผมบริเวณขมับร่วง : มักเริ่มจากการที่เส้นผมบริเวณขมับเริ่มถอยร่นเป็นรูปตัว M หรือ U
- ผมบางบริเวณกลางศีรษะ : เกิดการบางของเส้นผมบริเวณกลางศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณกระหม่อม
- ผมบางรอบ ๆ ศีรษะ : ในระยะท้าย ผมจะบางลงรอบๆ ศีรษะ เหลือเพียงเส้นผมบริเวณด้านข้างและด้านหลังของศีรษะ
- ในผู้หญิง : เรียกว่า ” ผมบางแบบผู้หญิง ” (Female Pattern Hair Loss) ภาวะนี้มักจะแสดงออกในรูปแบบของผมบางทั่วศีรษะ โดยที่แนวผมด้านหน้าไม่ร่นไป และมักสูญเสียเส้นผมหลังจากวัยหมดประจำเดือน • ผมบางทั่วศีรษะ : ปัญหาผู้หญิงหัวล้าน มักมีอาการผมบางทั่วทั้งศีรษะ โดยไม่สูญเสียเส้นผมทั้งหมดเหมือนผู้ชาย
- เส้นผมบางบริเวณกลางศีรษะ : มักพบการบางของเส้นผมมากที่สุดบริเวณกลางศีรษะ ทำให้เห็นหนังศีรษะชัดเจนขึ้น หากแสกผมจะเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ
- เส้นผมหน้าผากยังคงอยู่ : ในผู้หญิง เส้นผมบริเวณหน้าผากมักไม่ถอยร่นเหมือนในผู้ชาย
ภาวะนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างพันธุกรรมและการมีอยู่ของฮอร์โมนเพศชาย โดยเฉพาะฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (DHT) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ฮอร์โมน DHT จะเกาะกับรากผมและทำให้รากผมมีขนาดเล็กลง ซึ่งทำให้วงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมสั้นลงและสุดท้ายทำให้ผมร่วง
อาการของโรคผมบางกรรมพันธุ์
แบบไหนต้องรีบพบแพทย์ อาการของโรคผมบางกรรมพันธุ์มีหลายระดับ ตั้งแต่อาการเริ่มต้นจนถึงอาการรุนแรง ดังนี้
อาการโรคผมบางกรรมพันธุ์แบบทั่วไป
1. ผมร่วงมากกว่าปกติ : สังเกตได้จากการมีเส้นผมติดหวีหรือบนหมอนมากขึ้น
2. ผมบางลงเรื่อย ๆ : เห็นหนังศีรษะชัดเจนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
3. เส้นผมบางลง : เส้นผมมีขนาดเล็กลงและบางลงกว่าเดิม
4. ผมขึ้นช้าลง : ระยะเวลาในการงอกของเส้นผมใหม่นานขึ้น
5. ผมแห้งและขาดความมีชีวิตชีวา : เส้นผมอาจดูแห้งกร้านและไม่เงางามเหมือนเดิม
อาการโรคผมบาง ที่ควรรีบพบแพทย์
1. ผมร่วงอย่างรวดเร็ว : หากผมร่วงในปริมาณมากภายในระยะเวลาสั้น ๆ
2. ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ : อาจเป็นสัญญาณของโรคผมร่วงชนิดอื่นที่ไม่ใช่กรรมพันธุ์
3. มีอาการคันหรือระคายเคืองบนหนังศีรษะ : อาจเป็นสัญญาณของปัญหาผิวหนังอื่น ๆ
4. ผมร่วงร่วมกับอาการอื่น ๆ : เช่น อ่อนเพลีย น้ำหนักลด หรือมีไข้
5. ผมร่วงในวัยเด็กหรือวัยรุ่นตอนต้น : อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
6. ผมร่วงหลังจากเริ่มยาใหม่ : อาจเป็นผลข้างเคียงจากยา
การสังเกตอาการเหล่านี้และพบแพทย์เมื่อมีความผิดปกติจะช่วยในการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ การปรึกษาแพทย์ยังช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและแยกแยะระหว่างโรคผมบางกรรมพันธุ์กับโรคผมร่วงชนิดอื่น ๆ ได้
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงโรคผมบางกรรมพันธุ์
ผมร่วงเกิดจากอะไร ? สาเหตุหลักของโรคผมบางกรรมพันธุ์ คือ การถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่ได้รับมาจากทั้งพ่อหรือแม่ อย่างไรก็ตาม มีหลายปัจจัยที่สามารถมีอิทธิพลต่อการเริ่มต้นและการพัฒนาของภาวะนี้ได้
สาเหตุ โรคผมบางกรรมพันธุ์
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน : การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเพศชาย โดยเฉพาะ DHT มีบทบาทสำคัญในการทำให้ผมร่วง ฮอร์โมนเหล่านี้จะส่งผลต่อรากผม ทำให้วงจรการเจริญเติบโตสั้นลงและระยะพักนานขึ้น ส่งผลให้ผมบางลง
- อายุ: โอกาสในการพัฒนาโรคผมบางกรรมพันธุ์เพิ่มขึ้นตามอายุ โดยมักเริ่มในช่วงปลายวัยรุ่นถึงวัยยี่สิบต้น ๆ ในผู้ชาย และหลังวัยหมดประจำเดือนในผู้หญิง
- ประวัติครอบครัว : ประวัติครอบครัวที่มีภาวะศีรษะล้านเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ หากพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายของคุณมีโรคผมบางกรรมพันธุ์ คุณก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคนี้
- โรคประจำตัวบางอย่าง : ภาวะทางการแพทย์บางอย่าง เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ (PCOS) ในผู้หญิง สามารถทำให้โรคผมบางกรรมพันธุ์แย่ลงได้เนื่องจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน
ปัจจัยเสี่ยงของ โรคผมบางกรรมพันธุ์
- เพศ : ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงในการเกิดโรคผมบางกรรมพันธุ์
- ความเครียด : แม้ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่ความเครียดอาจกระตุ้นให้อาการรุนแรงขึ้นได้
- โภชนาการ : การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ อาจส่งผลต่อสุขภาพของเส้นผมได้
- การใช้ยาบางชนิด : ยาบางประเภท เช่น ยาเคมีบำบัด หรือยารักษาโรคไทรอยด์ อาจส่งผลข้างเคียงทำให้ผมร่วงได้
- การดูแลเส้นผมที่ไม่เหมาะสม : การใช้ความร้อนหรือสารเคมีกับเส้นผมมากเกินไปอาจทำให้เส้นผมเสียและร่วงง่ายขึ้น
- มลภาวะและสิ่งแวดล้อม : การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศหรือรังสี UV อาจส่งผลต่อสุขภาพของเส้นผมในระยะยาว
การเข้าใจถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้สามารถป้องกันและจัดการกับโรคผมบางกรรมพันธุ์ได้ดีขึ้น แม้ว่าจะไม่สามารถควบคุมปัจจัยทางพันธุกรรมได้ แต่การดูแลสุขภาพโดยรวม การจัดการความเครียด และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ อาจช่วยชะลอการเกิดโรคหรือลดความรุนแรงของอาการได้
ทางเลือกในการรักษาโรคผมบางกรรมพันธุ์
แม้ว่าโรคผมบางกรรมพันธุ์จะเป็นภาวะเรื้อรัง แต่ก็มีรักษาผมบางหลายวิธีที่สามารถช่วยชะลอการสูญเสียเส้นผม และในบางกรณีอาจช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผมได้ ทั้งนี้ประสิทธิภาพของการรักษาโรคผมบางกรรมพันธุ์ เหล่านี้แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
1. ยารับประทาน ยารับประทานสามารถช่วยชะลอการสูญเสียเส้นผมและกระตุ้นการงอกของเส้นผม การใช้ยาต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อคงสภาพของเส้นผมและทำให้เส้นผมดูหนาขึ้น
2. การบำบัดด้วยเลเซอร์ความเข้มข้นต่ำ (Low-level laser therapy – LLLT) การกระตุ้นรากผมด้วยแสง LLLT เป็นการใช้เลเซอร์เข้าไปกระตุ้นรากผมและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม ครั้งละประมาณ 30 นาที เป็นทางเลือกการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดและเหมาะสำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิง
3. การปลูกผม การปลูกผมเป็นการนำรากผมจากบริเวณที่มีผมหนา (มักเป็นด้านหลังหรือด้านข้างของศีรษะ) มาปลูกในบริเวณที่ศีรษะล้าน เช่น
- เทคนิค FUT (Follicular Unit Transplantation) : เป็นการปลูกผมโดยผ่าตัดนำชิ้นหนังศีรษะบางส่วนออกมา แล้วทำการคัดแยกเซลล์รากผมด้วยกล้องจุลทรรศน์ หลังจากนั้นจะนำเซลล์ผมที่ได้ไปปลูกบริเวณที่ต้องการ
- เทคนิค FUE (Follicular Unit Excision) : เป็นการปลูกผมโดยการใช้เครื่องเจาะขนาดเล็ก ประมาณ 0.8 – 1.0 มิลลิเมตร เจาะผ่านหนังศีรษะและดึงเซลล์รากผมออกมาโดยตรง
4. การบำบัดด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-rich plasma – PRP) การบำบัดด้วย PRP คือการฉีดพลาสมาเกล็ดเลือดที่ได้จากเลือดของผู้ป่วยเองเข้าสู่หนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมและเพิ่มความหนาของเส้นผม
5. การปรับโภชนาการ โดยส่วนใหญ่ผู้ปัญหาผมร่วง ผมบางจะอยากรู้ว่า ผมร่วงเยอะมาก ต้องกินอะไร ? ในเบื้องต้นการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ อย่าง โอเมก้า-3 และวิตามิน D จะช่วยให้เส้นขนเจริญเติบโตได้ดีขึ้น ตลอดจนการจัดการกับความเครียด ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ หรือโยคะ และหลีกเลี่ยงการทำทรีตเมนต์ผมที่รุนแรง ก็จะสามารถรักษาสุขภาพผมโดยรวมและชะลอการร่วงของเส้นผมได้
สุดท้ายการเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ความพึงพอใจส่วนบุคคล และคำแนะนำจากแพทย์ โดยทั่วไปการรักษามักใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6-12 เดือนจึงจะเห็นผลชัดเจน
รักษาโรคผมบางกรรมพันธุ์ ที่ไหนดี ?
การเลือกสถานที่รักษาโรคผมบางกรรมพันธุ์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันศูนย์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะโรงพยาบาล พญาไท 3 ให้บริการ ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะแบบครบวงจร รักษาเรื่องผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน รังแค ปลูกผมถาวร ศัลยกรรมปลูกผม ปลูกผมไร้แผลเย็บ ปลูกผม FUE ( Follicular Unit Extraction ) ปลูกผมไร้รอย ปลูกผมไร้แผลเย็บ ปลูกคิ้ว ปลูกหนวด ปลูกผมบนแผลเป็น โดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ มีอุปกรณ์ครบครัน เครื่องมือทันสมัย สะอาด ปลอดภัยมาตรฐานโรงพยาบาล สะดวกสบาย เดินทางง่าย
สรุป โรคผมบางกรรมพันธุ์ จัดการได้ มาถึงตรงนี้ใครที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคผมบางกรรมพันธุ์หรือไม่ ? สิ่งสำคัญคือการยอมรับและเข้าใจว่าโรคผมบางกรรมพันธุ์เป็นภาวะทางการแพทย์ที่สามารถจัดการได้ และการพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการและการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้สามารถควบคุมอาการและทำการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พญ. วิภาวัน วัธนะนัย ตจแพทย์
ศัลยแพทย์ปลูกผม และแพทย์ผิวหนัง
ศูนย์เส้นผมและหนังศีรษะ โรงพยาบาลพญาไท 3
โทร.02-467-1111 ต่อ 1432