อาการปวดศีรษะ ทั้งปวดศีรษะจี๊ดๆ ปวดตุบๆ และอีกสารพัดปวด ซึ่งรูปแบบและอาการที่เกิดขึ้นนี้มีสาเหตุหลากหลายออกไป ทั้งจากความเครียด กิจวัตรประจำวัน อาหาร ระยะเวลาการพักผ่อน รวมถึงโรคภัยต่างๆ มาดูกันว่าอาการปวดศีรษะที่คุณเผชิญอยู่มาจากปัจจัยใดบ้าง? และอันตรายมากน้อยแค่ไหน?
ปวดศีรษะแบบไหน คือสัญญาณร้ายที่ควรรีบไปพบแพทย์
- อาการปวดศีรษะที่มักเริ่มต้นหลังตื่นนอน เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะความดันสมองสูงผิดปกติ
- อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นทันทีทันใด และมีความรุนแรงมากจนทำให้สะดุ้งตื่น
- อาการปวดศีรษะที่บ่อยครั้งเกินไป หรือมากกว่า 1 ครั้งใน 1 สัปดาห์ และปวดต่อเนื่องเป็นเดือน อาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท
- อาการปวดศีรษะรุนแรง และมักมีอาการคอแข็งร่วมด้วย อาจเกิดจากการติดเชื้อในระบบประสาท
- อาการปวดศีรษะที่ส่งผลให้มีอาการแขนขาอ่อนแรง การมองเห็นหรือการได้ยินผิดปกติได้จากเดิม
- อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นแบบรุนแรงและเฉียบพลัน เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง
- อาการปวดศีรษะที่มีอาการปวดตาร่วมด้วย และมีอาการตาแดงตามมา
- อาการปวดศีรษะครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี
- อาการปวดศีรษะที่มีระดับความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
- อาการปวดศีรษะที่สัมพันธ์กันกับการเปลี่ยนท่าทาง เช่น ปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะและคอ
- อาการปวดศีรษะที่รุนแรงมากขึ้นเมื่อไอจามหรือออกแรงเบ่ง
- อาการปวดศีรษะที่มีลักษณะปวดข้างเดียวตลอดเวลา
- อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นหลังศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน
ลักษณะนี้เข้าข่ายอาการปวดศีรษะกลุ่มร้ายแรง (Organic Headache) ที่ต้องรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ แนะนำให้คุณสังเกตตัวเองหากมีอาการปวดศีรษะอยู่บ่อยครั้ง ปวดเวลาไหน ปวดแบบใด ถ้าการปวดนั้นต่างจากอาการปวดที่เคยเป็นแล้วหาย กลายเป็นอาการปวดศีรษะที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีช่วงเวลาหายปวด หรือมีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น อาจบ่งชี้ถึงโรคที่อาจจะเกิดได้เช่น เลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ต้อหิน หรือ ภาวะน้ำในโพรงสมองอุดตัน เป็นต้น
อาการปวดศีรษะแบบธรรมดาไม่มีอะไร ไม่ร้ายแรง (Functional headache) สามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ระดับความปวดมากน้อยลดหลั่นกันไป เช่น
- ปวดศีรษะจากภาวะกล้ามเนื้อบีบเกร็ง อาจมีอาการปวดศีรษะอยู่นานเป็นชั่วโมง หรือเป็นวันก็ได้ บางรายอาจรู้สึกคลื่นไส้พะอืดพะอม ตาพร่านิดๆ อาการปวดศีรษะนี้ถือว่าเป็นการปวดศีรษะทั่วไป มักสัมพันธ์กับเวลาอากาศร้อน นอนไม่หลับ เครียด ทำงานอยู่ในท่าเดิมนานๆ ใช้ตามากๆ มีความวิตกกังวล ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือดื่มชา กาแฟมากเกินไป
- ปวดไมเกรน เป็นอาการปวดหัวที่พบบ่อย ลักษณะการปวดจะมาในรูปแบบของการปวดศีรษะข้างเดียว ปวดตุบๆ ข้างเดียวคล้ายจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือปวดหนักๆ ข้างเดียวบริเวณเบ้าตา ขมับ ในแต่ละรอบจะมีการปวดย้ายข้าง ขวาบ้าง ซ้ายบ้าง เวลาปวดไมเกรนมักจะปวดค่อนข้างแรง บางครั้งปวดจนทำอะไรไม่ได้เลย อาจมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ส่วนใหญ่รับประทานยาพาราเซตามอลแล้วเอาไม่อยู่ ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาและใช้ยาให้ตรงกับอาการ
เมื่อต้องเผชิญกับอาการปวดศีรษะต้องทำอย่างไร?
สำหรับใครที่มีอาการปวดศีรษะแบบเป็นๆ หายๆ บ่อยเกินปกติ ควรหาเวลามาตรวจสุขภาพ พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยกันบ้างดีกว่านะคะ เช่น วัดความดันโลหิต ตรวจทางระบบประสาท ตรวจตา และตรวจกระดูกสันหลังที่คอ นอกจากนี้ การนวดบำบัด ทำสปา หรือกดจุดบ้างก็เป็นผลดี เพราะศาสตร์เหล่านี้เป็นตัวช่วยแก้ปัญหาอาการปวดศีรษะได้อย่างดี การนวด หรือกดจุดบริเวณที่เชื่อมโยงกับศีรษะก็ช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้ เพราะจะช่วยทำให้ผ่อนคลาย เรียกได้ว่าวิธีการใดก็ตามที่ทำแล้วรู้สึกสบายก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ส่วนการออกกำลังกาย และรับประทานให้ครบหลัก 5 หมู่ ตามทฤษฎีการดูสุขภาพ ก็ถือเป็นข้อควรปฎิบัติ เพราะนอกจากจะลดความเสี่ยงต่ออาการปวดศีรษะแล้ว ยังลดความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บอื่นได้อีกด้วย