การดูแลรักษาแผลที่ถูกต้อง ต้องคำนึงถึงชนิด ลักษณะ ขนาด และความลึกของแผล เพื่อให้แผลหายเร็ว และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ การเกิดแผลเป็น โดยแผลสดควรเน้นด้านความสะอาด และป้องกันการติดเชื้อ ในขณะที่แผลหายช้า หรือแผลเรื้อรัง ควรเน้นการป้องกันการเกิดแผลเป็น ทั้งนี้ สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างแรก คือการล้างแผลให้ถูกวิธี
ขั้นตอนการล้างแผลอย่างถูกวิธี
การล้างแผลอย่างถูกวิธี มีส่วนอย่างมากในการทำให้แผลหายดี หายไว ไม่ติดเชื้อง่าย ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
- ล้างมือให้สะอาด ด้วยน้ำ และสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นไม่น้อยกว่า 60%
- เตรียมอุปกรณ์ เช่น ผ้าก๊อซ น้ำเกลือสำหรับล้างแผล (9% Normal Saline) ชุดเครื่องมือทำความสะอาด และถุงมืออนามัย
- สวมถุงมืออนามัย ป้องกันการสัมผัสแผลโดยตรง เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
- ทำความสะอาดรอบแผล โดยใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำเกลือ แล้วใช้แอลกอฮอล์ 70% เช็ดรอบๆแผล ห้ามเช็ดที่แผลโดยตรงเพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อเสียหาย
- ใช้น้ำเกลือ ด้วยการเทหรือใช้ผ้าก๊อซชุบเช็ด หรือล้างเบาๆ โดยเริ่มจากแผลด้านในออกมาด้านนอก เพื่อไม่ให้เชื้อโรคจากผิวหนังสัมผัสกับแผล
- ใช้ผ้าก๊อซ หรือผ้าสะอาดที่ไม่เป็นขุยเช็ดเบาๆ ให้แผลแห้ง
- กรณีต้องใช้ยาทาแผล เช่น ยาฆ่าเชื้อ หรือยาช่วยลดการเกิดแผลเป็น ให้ทำตามคำแนะนำของแพทย์
- ใช้ผ้าก๊อซ หรือผ้าพันแผลปิดแผลให้แน่น ไม่ควรใช้สำลีปิดแผล เพราะอาจทำให้ดึงออกยาก แผลได้รับการกระทบกระเทือน และเจ็บแผลขณะแกะออก
- หลังล้างแผลเสร็จ ควรทิ้งอุปกรณ์ที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่มีฝาปิดแน่นหนา และล้างมือให้สะอาดอีกครั้ง
การเลือกใช้ยาฆ่าเชื้อ
การเลือกใช้ยาฆ่าเชื้อ ควรพิจารณาจากลักษณะ และประเภทของแผล เพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้
- แผลสด และแผลถลอก ใช้ยาแดง (Mercurochrome) หรือโพวิโดน-ไอโอดีน (Povidone-Iodine) แต่ควรระวังการใช้กับแผลที่ผิวอ่อน เพราะอาจทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง
- แผลเรื้อรัง หรือแผลเปื่อย ใช้ยาเหลือง (Acriflavine) แต่อาจมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อน้อยกว่าและออกฤทธิ์ช้า
- แผลหนอง หรือเนื้อเยื่อตาย ใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3% ทำความสะอาดแผลและช่วยกำจัดเนื้อเยื่อตาย ซึ่งควรใช้เฉพาะช่วงแรกของการทำแผลเพื่อละลายเนื้อตาย แต่ห้ามใช้ต่อเนื่อง เพราะอาจทำลายเนื้อเยื่อใหม่ที่กำลังสร้าง
- แผลที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ใช้แอลกอฮอล์ 70% เช็ดรอบๆ แผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งในปัจจุบันมียาฆ่าเชื้อที่ประสิทธิภาพ และไม่ทำลายเนื้อเยื่อเช่น Octenidine, Polihexanide, Povidone-Iodine, Sodium Hypochlorite และ Nanosilver
วิธีเลือกอุปกรณ์ และวัสดุปิดแผลให้เหมาะกับแผลแต่ละประเภท
เพื่อให้แผลหายเร็ว และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรเลือกอุปกรณ์และวัสดุปิดแผล ดังนี้
- แผลที่มีของเหลวมาก (Exudating wounds) ใช้วัสดุปิดแผล ที่สามารถดูดซับของเหลวได้ดี เช่น
- อัลจิเนต (Alginate) Dressing ซึ่งดูดซับน้ำเหลืองได้ดี ช่วยรักษาความชุ่มชื้น
- ไฮโดรไฟเบอร์ (Hydrofiber) Dressing ดูดซับน้ำเหลืองได้มาก และป้องกันการเปื่อยยุ่ยที่ขอบแผล
- โฟม (Foam) Dressing ช่วยดูดซับของเหลว และลดการระคายเคือง
- แผลที่มีการติดเชื้อ หรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อ (Infected or high risk of infection) ใช้วัสดุปิดแผลที่มีสารต้านเชื้อ เช่น
- ซิลเวอร์ (Silver) Dressing ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Silver Foam Dressing หรือ Aquacel Ag
- ไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloid) Dressing ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในแผล และป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ลดโอกาสการติดเชื้อ
- แผลที่มีเนื้อเยื่อเสียหาย หรือจำเป็นต้องทำการล้างแผล (Necrotic or needing debridement) ควรใช้
- ไฮโดรเจล (Hydrogel) Dressing ช่วยกระตุ้นการย่อยสลายเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว
- ไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloid) Dressing ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสมานแผล
- แผลที่ต้องการการป้องกันการระคายเคือง เช่น แผลจากการผ่าตัด หรือแผลที่เพิ่งหายจากการผ่าตัด แผลจากการเบียดหรือแรงกด ควรใช้ผ้าพันแผลที่ไม่ติดกับแผล เช่น Silicone Foam Dressing เพื่อลดการระคายเคือง และทำให้การเปลี่ยนผ้าพันแผลง่ายขึ้น
- แผลที่มีผิวที่อ่อนแอหรือใกล้หาย ควรเลือกวัสดุปิดแผลที่ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น ซิลิโคน (Silicone) Foam Dressing ซึ่งไม่ติดแผล และNon-adherent Dressing เช่น Mepitel หรือ Urgotul ซึ่งเหมาะสำหรับแผลที่ใกล้หาย และไม่ทำให้แผลติด หรือยุ่ยในระหว่างการเปลี่ยนผ้าพันแผล
ข้อควรระวังในการดูแลแผลเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
การดูแลบาดแผลอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และป้องกันภาวะแทรกซ้อน ซึ่งควรปฏิบัติดังนี้
- ไม่ให้แผลสัมผัสน้ำ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยตรง โดยใช้ถุงมืออนามัย หรืออุปกรณ์ที่สะอาดในการทำแผล
- ไม่ใช้สารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น น้ำส้มสายชู แอลกอฮอล์ไอโซโพรพิล หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์โดยตรงกับแผล
- รักษาความสะอาดบริเวณรอบแผล เปลี่ยนผ้าปิดแผลทุกวัน หรือเมื่อเปียกชื้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เชื้อดื้อยา
- รับประทานอาหารที่ช่วยสมานแผล เช่น โปรตีน วิตามินซี และธาตุสังกะสี
- หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ เช่น อาการบวม แดง ร้อน หรือมีหนองไหล หากพบสัญญาณของการติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์
การดูแลรักษาแผลเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความระมัดระวัง และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับลักษณะของแผล การเลือกใช้อุปกรณ์และวัสดุที่เหมาะสม รวมถึงการปฏิบัติตามข้อควรระวังเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ล้วนมีส่วนช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
หากท่านมีข้อสงสัย หรือประสบปัญหาในการดูแลแผลด้วยตนเอง โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน พร้อมให้บริการดูแลรักษาแผลทุกประเภท โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมด้วยอุปกรณ์ และเครื่องมือที่ช่วยให้แผลหายไว หายดี แผลสวย ภายใต้มาตรฐานการรักษาระดับสากล ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการดูแลแผลของคุณ
ลงทะเบียน ปรึกษาแพทย์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย คลิก
นพ. ศิขริน ศรพิพัฒน์พงศ์
ศัลยแพทย์เฉพาะทางการผ่าตัดผ่านกล้อง
และการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน
โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน