แผลแบบนี้ รักษาแบบไหน เพื่อให้แผลหาย และลดเสี่ยงการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อน
เชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีแผลมาก่อน หากเป็นเพียงแผลเล็กๆ ที่ไม่ติดเชื้อ ก็มักจะหายเองได้ภายในไม่กี่วัน อย่างไรก็ตามหลายคนที่มีแผลขนาดใหญ่ หรือแผลที่เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ และมีหนอง ก็อาจจำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกับประเภทของแผล พร้อมทั้งรู้จักวิธีดูแลแผลเบื้องต้น เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อน
แผลคืออะไร?
แผล คือความเสียหายของเนื้อเยื่อในร่างกาย ซึ่งอาจเกิดจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด การติดเชื้อ หรือโรคที่ทำให้เนื้อเยื่อเสื่อมสภาพ แผลมีทั้งแบบเปิดที่มองเห็นได้ และแผลภายในที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า การรักษาแผลอย่างถูกวิธีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย
การรักษาแผล สำคัญอย่างไร?
การรักษาแผลอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่เพียงช่วยให้แผลหายเร็วและสมานตัวได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอีกด้วย หากดูแลแผลผิดวิธี หรือปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจกลายเป็นแผลเรื้อรังที่รักษายากขึ้น หรือหากแผลเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ ก็อาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะที่เกิดบาดแผล หรืออวัยวะข้างเคียง ทั้งยังเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในกรณีที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis)
ประเภทของแผล และวิธีดูแลรักษาแผลที่ถูกต้อง
การจำแนกประเภทของแผล สามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ โดยการแบ่งประเภทของแผลจะช่วยให้เลือกวิธีรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมได้ดีขึ้น เช่น
แผลจากการบาดเจ็บทางกาย
เช่น แผลบาด หรือ แผลฉีกขาด มักเกิดจากการกระทบกระแทกหรือของมีคม วิธีดูแลแผลประเภทนี้คือต้องล้างแผลด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือ ทำการห้ามเลือด และปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ หรือพลาสเตอร์ หากแผลลึก หรือกว้างควรพบแพทย์เพื่อเย็บแผล สำหรับแผลถลอกควรล้างแผลให้สะอาด ทายาฆ่าเชื้อ เช่น เบตาดีนหรือไฮโดรเจล จากนั้นปิดแผลด้วยแผ่นปิดที่ไม่ติดแผล เช่น พลาสเตอร์ชนิดพิเศษ หรือแผ่นเจล เพื่อช่วยรักษาความชื้นและทำให้แผลหายเร็วขึ้น
แผลจากการไหม้ที่เกิดจากความร้อน หรือสารเคมี
ควรรีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทันทีเพื่อลดความรุนแรง จากนั้นทาครีม หรือเจลบรรเทาอาการไหม้ และใส่ยาฆ่าเชื้อก่อนปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ หรือแผ่นเจล หากแผลไหม้ลึก หรือเป็นบริเวณกว้างควรไปพบแพทย์
แผลกดทับ
เกิดจากการนั่ง หรือนอนในท่าทางเดิมนานๆ ทำให้เกิดการบีบอัดที่ผิวหนัง ควรทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ และใช้แผ่นปิดแผลชนิดพิเศษ ที่ช่วยรักษาความชื้นและป้องกันการติดเชื้อ
แผลจากการผ่าตัด
ต้องทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือ ตรวจแผลเพื่อดูอาการของการติดเชื้อเป็นประจำ เช่น การบวม แดง หรือมีหนอง ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ หรือพลาสเตอร์ และทำตามคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน
แผลเรื้อรัง
เช่น แผลจากเบาหวาน หรือแผลที่เกิดจากปัญหาการไหลเวียนเลือด มักใช้เวลารักษานานและต้องการการดูแลเฉพาะ เช่น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หรือ การปรับปรุงการไหลเวียนเลือดเพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ในบางกรณีอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือการผ่าตัดเพื่อช่วยรักษาแผล
ความแตกต่างของแผลธรรมดา vs แผลติดเชื้อ vs แผลเรื้อรัง
ลักษณะ | แผลธรรมดา
(Acute Wounds) |
แผลติดเชื้อ
(Infected Wounds) |
แผลเรื้อรัง
(Chronic Wounds) |
ลักษณะของแผล | เกิดจากการบาดเจ็บ หรือกระแทก เช่น แผลบาด แผลถลอก | แผลที่มีการติดเชื้อจากแบคทีเรีย เช่น แผลมีหนอง หรือกลิ่นเหม็น | แผลที่ไม่หายภายในเวลาปกติ มักเกิดจากโรค หรือภาวะสุขภาพ เช่น เบาหวานหรือแผลกดทับ |
การรักษา | ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือล้างแผล ห้ามเลือด และปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ | ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการติดเชื้อ หากมีหนองต้องระบายออก | ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น การควบคุมระดับน้ำตาล ใช้แผ่นปิดแผลที่ช่วยรักษาความชื้น |
ระยะเวลาในการหาย | หายภายใน 1-2 สัปดาห์ | ใช้เวลานานกว่า 2 สัปดาห์ ต้องให้แพทย์ดูแล | หายช้า หรือเป็นซ้ำบ่อยๆ ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง |
สัญญาณที่ต้องระวัง | ไม่มีสัญญาณการติดเชื้อ เช่น บวม แดง หรือหนอง | มีอาการบวม แดง หรือหนอง มีความร้อนที่แผล | แผลไม่หายภายในเวลาที่คาดหวัง อาจมีสาเหตุจากโรคประจำตัว |
วิธีล้างแผลที่ถูกต้องช่วยให้แผลหายเร็ว และลดโอกาสการติดเชื้อ
- การล้างแผลอย่างถูกต้องจะช่วยให้แผลหายเร็ว และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งมีวิธีการดังนี้
- ล้างมือก่อนทำแผล ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค
- ใช้น้ำเกลือ หรือน้ำสะอาดล้างแผล หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อเสียหาย
- ทำความสะอาดบริเวณรอบแผล ใช้ผ้าก๊อซสะอาดซับรอบๆ แผลเบาๆ เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าสู่แผล
- เช็ดแผลให้แห้ง ใช้ผ้าก๊อซสะอาดซับเบาๆ เพื่อให้แผลแห้ง
- ใช้แผ่นปิดแผลที่เหมาะสม เช่น ผ้าก๊อซที่ไม่ติดแผล หรือพลาสเตอร์ที่ช่วยรักษาความชื้นและป้องกันเชื้อโรค
- เปลี่ยนผ้าปิดแผลสม่ำเสมอ ควรเปลี่ยนทุกวัน หรือทันทีหากเปียกหรือสกปรก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการขัด หรือเกาแผล เพราะอาจทำให้แผลลึกขึ้น หรือติดเชื้อสังเกตอาการหากบวม แดง หรือมีหนองควรรีบพบแพทย์
สัญญาณ หรืออาการของแผลติดเชื้อที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
- แผลมีหนอง หรือของเหลวผิดปกติ เช่น มีหนองสีเหลือง ขาว เขียว หรือสีน้ำตาล อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ ซึ่งควรได้รับการรักษาทันที
- แผลบวม และแดงผิดปกติ หากแผลเริ่มบวม แดง หรือบริเวณรอบๆ แผลมีความร้อนมากกว่าปกติ และรู้สึกเจ็บมากขึ้น อาจบ่งบอกถึงอาการอักเสบจากการติดเชื้อ
- แผลมีกลิ่นเหม็น ส่งกลิ่นผิดปกติ หรือมีกลิ่นเหม็น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรงที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว
- มีไข้ การติดเชื้ออาจทำให้ร่างกายมีไข้ หากพบว่ามีไข้ร่วมกับอาการผิดปกติของแผล ควรรีบไปพบแพทย์
- ปวดแผลรุนแรงขึ้น หรือไม่ทุเลาลงแม้จะได้รับการดูแลรักษาที่ดีแล้ว อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ หรือการอักเสบที่ลุกลาม
- แผลหายช้า หรือขยายขอบเขต หรือแผลไม่ดีขึ้นภายในระยะเวลาที่ควร หรือขยายตัวไปยังบริเวณอื่น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ หรือปัญหาการสมานแผล
- ต่อมน้ำเหลืองบวม หากต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงแผล เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือคอ มีอาการบวม อาจเป็นสัญญาณว่าแผลติดเชื้อ และร่างกายกำลังตอบสนองต่อการอักเสบ
หากมีอาการ หรือสัญญาณเหล่านี้ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เพราะหากปล่อยทิ้งไว้แผลอาจลุกลาม และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน เชี่ยวชาญในการรักษาแผลทุกประเภท ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มากประสบการณ์ และเทคโนโลยีการดูแลแผลที่ทันสมัย เช่น การรักษาแผลด้วยแรงดันลบ (Negative Pressure) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสมานแผล การใช้วัสดุปิดแผลชนิดพิเศษ การรักษาด้วยออกซิเจนความดันสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy) และการดูแลแผลเรื้อรังอย่างเป็นระบบ ทั้งหมดนี้ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ลงทะเบียน ปรึกษาแพทย์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย คลิก
นพ. ศิขริน ศรพิพัฒน์พงศ์
ศัลยแพทย์เฉพาะทางการผ่าตัดผ่านกล้อง และการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน
โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน