มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) อาการ สาเหตุ และวิธีรักษาที่ต้องรู้

มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) อาการ สาเหตุ และวิธีรักษาที่ต้องรู้

มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือที่รู้จักกันว่า ลูคีเมีย (Leukemia) เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนมีการเจริญเติบโตในอัตราที่มากกว่าปกติอย่างไม่ทราบสาเหตุและแบ่งตัวอย่างไม่หยุดยั้งในไขกระดูก จนรบกวนการทำงานของไขกระดูกในภาวะปกติ ทั้งในส่วนของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด จนเกิดอาการแสดงที่เด่นชัด

 

มะเร็งเม็ดเลือดขาวที่รู้จักกันมักเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน เนื่องจากมีการดำเนินโรคที่รวดเร็วและรุนแรงถึงแก่ชีวิต พบได้ทุกเพศทุกวัย และยิ่งพบมากขึ้นในผู้สูงอายุ

 

สาเหตุยังไม่เป็นที่แน่ชัดของการเกิดโรคแต่คาดว่าปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้มีผลต่อการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เช่น การได้รับรังสีขนาดสูงไม่ว่าด้วยวิธีใด ได้รับยาเคมีบำบัดจากการรักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ เนื่องด้วยยาเคมีบำบัดบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ได้รับสารเคมีจากแหล่งอื่น เช่น สารเคมีในกลุ่มพวกเบนซีนจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและยาฆ่าแมลงบางชนิด น้ำยาย้อมผม โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคดาวน์ซินโดรม ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเสี่ยงต่ออุบัติการณ์เกิดมะเร็งได้ทุกชนิดรวมถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคไขกระดูกเสื่อมและทำงานผิดปกติแรกเริ่ม

 

อาการมะเร็งเม็ดเลือดขาว

คืออาการที่บ่งชี้การทำงานของไขกระดูกบกพร่อง โดยปกติไขกระดูกมีเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เมื่อมะเร็งเม็ดเลือดขาวเพิ่มจำนวนมากขึ้นในไขกระดูกจะรบกวนการสร้างเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ดังกล่าว เกิดเป็นอาการที่นำมาพบแพทย์ ดังนี้

  • เม็ดเลือดแดง: อ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด เหนื่อยง่าย ใจสั่น น้ำหนักลด ผมร่วง
  • เม็ดเลือดขาว: ไข้ต่ำ ๆ หรือไข้สูง ติดเชื้อบ่อย อ่อนเพลีย
  • เกล็ดเลือด: เลือดออกง่ายกว่าปกติ รวมถึงภาวะเลือดหยุดยากเมื่อมีบาดแผล จุดเลือดออกหรือจ้ำเลือดตามร่างกาย
  • อาการภายนอกไขกระดูก: เบื่ออาหาร น้ำหนักลด คลำได้ก้อนตามร่างกายโตขึ้น ตับหรือม้ามโตบางครั้ง

 

ปัญหาสุขภาพดังกล่าวนำมาสู่การพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อการวินิจฉัย จากการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดหาความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด รวมทั้งการเจาะไขกระดูกเพื่อยืนยันการวินิจฉัย และเก็บตัวอย่างไขกระดูกเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และบอกพยากรณ์ของโรคก่อนการเริ่มการรักษา จากน้ำไขกระดูกและชิ้นเนื้อไขกระดูก

 

หลายครั้งที่ผู้ป่วยมักปฏิเสธการเจาะไขกระดูก เนื่องด้วยสับสนกับการเจาะน้ำไขสันหลัง กังวลเรื่องจากใช้ชีวิตหลังทำหัตถการ ทำให้พลาดโอกาสในการรักษาให้หายขาด การเจาะไขกระดูกเป็นคนละวิธีการกับการเจาะน้ำไขสันหลัง ไม่กระทบต่อการเดิน และไม่นำไปสู่การเป็นอัมพาตในภายหลัง ระยะเวลาในการทำหัตถการ 20-30 นาที สามารถทำได้ทุกวัยโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เนื่องจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวพบบ่อยในผู้สูงอายุดังที่กล่าวไป สามารถกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ หากไม่มีข้อบ่งชี้อื่นในการนอนโรงพยาบาล

 

ก่อนเริ่มการรักษาต้องมีทีมแพทย์ประเมินชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว อายุ โรคประจำตัวที่มีอยู่และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และข้อจำกัดของการรักษาในแต่ละวิธี ก่อนแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วยและญาติ ได้แก่

 

เคมีบำบัด

นับเป็นการรักษามาตรฐานของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (มะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะเรื้อรัง ยารับประทานเป็นการรักษาหลัก) ในการทำลายเซลล์มะเร็งผิดปกติที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็วให้เกิดการสร้างเม็ดเลือดปกติขึ้นมาทดแทนใหม่ในไขกระดูก มักใช้ยาเคมีบำบัดหลายรูปแบบร่วมกันทั้งชนิดกิน ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และฉีดเข้าน้ำไขสันหลัง หลักการรักษาสำคัญคือต้องใช้เคมีบำบัดร่วมกันหลายชนิดเพื่อ

 

เพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา และลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาเคมีบำบัดตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป พิจารณาจากชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาวและความรุนแรงของโรค รวมถึงสมรรถภาพของผู้ป่วยด้วย ผลข้างเคียงต่อยาเคมีบำบัดจะปรากฏชัดเจนในเซลล์ที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็วในอวัยวะนั้น ๆ เช่น อาเจียน ถ่ายเหลว แผลในปากจากเยื่อบุทางเดินอาหารถูกทำลาย  เหนื่อย อ่อนเพลีย ไข้ต่ำ ๆ โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อชนิดต่าง ๆ มากขึ้น จุดเลือดออกตามร่างกาย เนื่องจากเซลล์ในไขกระดูกถูกทำลายหรือไขกระดูกถูกกดการทำงาน ผมร่วงจากเซลล์รากผมถูกทำลาย


การรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง

หรือที่เรียกว่า “ยาพุ่งเป้า” เป็นยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติหรือทำลายเซลล์ปกติน้อยมาก เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาที่มากขึ้น และลดอาการข้างเคียงจากการทำลายเซลล์ปกติ (มักใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด) ถือได้ว่าเป็นการรักษามาตรฐานของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง


การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด เซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติหรือทำลายเซลล์ปกติน้อยมาก เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาที่มากขึ้น และลดอาการข้างเคียงจากการทำลายเซลล์ปกติ (มักใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด) ถือได้ว่าเป็นการรักษามาตรฐานของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง

 

การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด 

หรือปลูกถ่ายไขกระดูก วิธีนี้เริ่มจากนำเซลล์ต้นกำเนิดสำหรับการสร้างเม็ดเลือดจากเลือดหรือไขกระดูกของตัวผู้ป่วยเอง ญาติพี่น้องหรือผู้บริจาค ที่เข้ากันได้กับผู้ป่วย มาปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยหลังจากได้รักษาจนโรคอยู่ในระยะสงบเพื่อลดโอกาสกลับเป็นซ้ำ จะไม่ใช้กระบวนการนี้หากผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดจนโรคสงบ เนื่องจากในกระบวนการนี้ต้องใช้ยาเคมีบำบัดเพื่อทำลายเซลล์ในไขกระดูกเดิมให้หมดไป ก่อนที่จะใส่เซลล์ต้นกำเนิดแก่ผู้ป่วย

 

ดังที่กล่าวไปแล้วนั้น ระหว่างการรักษาต้องมีการประเมินผลข้างเคียงจากการรักษาในทุกมิติ อาจมีการประคับประคองโดยการให้ได้เลือดและเกล็ดเลือด รวมถึงยารักษาตามอาการเพื่อลดผลข้างเคียง เช่น ยาแก้อาเจียน ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว เป็นต้น และประเมินการตอบสนองต่อการรักษาเป็นระยะ ก่อนเริ่มกระบวนการถัดไปของการรักษา 

 

กรณีที่รักษาจนโรคอยู่ในระยะสงบแล้ว แพทย์จะนัดตรวจติดตามอาการและเจาะเลือดเพื่อประเมินผลร่วมกัน เป็นระยะ ๆ ในช่วงปีแรกตามความเหมาะสม ถ้าผลตรวจปกติ จะนัดตรวจติดตามทุก 3-6 เดือนอย่างน้อย 5 ปี จึงจะถือว่าหายขาดจากโรค โดยโอกาสกลับเป็นซ้ำจะลดลงเมื่อเวลานานขึ้น แต่เมื่อเกิน 5 ปี ยังมีการตรวจติดตามคัดกรองโรคประจำตัวร่วมอื่น ๆ ร่วมกับคัดกรองมะเร็งชนิดอื่นตามสมควร

 

ยึดหลักการดูแลสุขอนามัยและรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อนในภายหลังการรักษา โดยเฉพาะปัจจุบันที่พบการติดเชื้อทางเดินหายใจอย่างต่อเนื่อง การใส่หน้ากากอนามัย การไม่ควรอยู่ในที่แออัด หรือการระบายอากาศไม่ดี ช่วยลดโอกาสติดเชื้อทางเดินหายใจดังกล่าวได้ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและปรุงสุกด้วยความร้อน ตระหนักถึงความสะอาดเสมอในกรรมวิธีการทำอาหาร ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด เพื่อลดโอกาสติดเชื้อทางเดินอาหาร ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ การรับการประเมินและวางแผนการรักษาร่วมกัน ระหว่างทีมแพทย์กับผู้ป่วย และครอบครัวคือหลักสำคัญในการรักษา

 

นพ. ศิรวิชญ์ สมานวรกิจ

ศูนย์มีสุข โรงพยาบาลพญาไท 3 

ให้คำปรึกษาโดยพยาบาลชำนาญการ 08 1937 6906


นัดหมายแพทย์

แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ




Loading...