หลอดเลือดแดงที่ขาตีบตัน...ปัญหาสำคัญของผู้ป่วยเบาหวาน

พญาไท 3

1 นาที

จ. 06/09/2021

แชร์


Loading...
หลอดเลือดแดงที่ขาตีบตัน...ปัญหาสำคัญของผู้ป่วยเบาหวาน

โรคหลอดเลือดแดงที่ขาตีบตัน เป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิต เพราะส่วนใหญ่การดำเนินโรคจะเป็นแบบเรื้อรังค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้ป่วยขาดความใส่ใจ และกว่าจะรู้ตัวก็อาจเป็นไปมากแล้ว กล่าวคือ มีหลอดเลือดแดงตีบตันเกินกว่า 70-80% ซึ่งทำให้มีอาการปวดขา มีแผลแล้วหายยาก มีเนื้อตายดำๆ ที่เท้าจนอาจต้องถูกตัดเท้าทิ้ง ในบางรายเป็นแบบเฉียบพลันก็ต้องถูกตัดขา กลายเป็นคนพิการ ที่สำคัญคือ ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งมีความเสี่ยงมากถึง 4-5 เท่า และเสี่ยงจากโรคสมองขาดเลือด 2-3 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เป็นโรค

โรคหลอดเลือดแดงแข็งเกิดจากสาเหตุใด

สาเหตุสำคัญของโรค เป็นผลมาจากมีหลอดเลือดแดงแข็ง ซึ่งเริ่มจากการมีไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด ต่อมามีกระบวนการอักเสบ เกิดพังผืดและมีแคลเซียมเกาะสะสม หรือมีลิ่มเลือดไปอุดตันในหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดแดงหนาขึ้น จนหลอดเลือดแดงตีบแคบลง ส่งผลให้เลือกไปเลี้ยงที่ขาไม่เพียงพอ ทำให้มีอาการขาดเลือดเมื่อใช้งานที่ขา

อาการและตำแหน่งที่เป็น

อาการของโรคขึ้นอยู่กับตำแหน่งหลอดเลือดที่อุดตัน ซึ่งมีแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น ปวดขา ปวดน่องเวลาเดินหรือออกกำลังกาย ถ้าโรครุนแรงขึ้นจะปวดขามากจนเดินขากะเผลก หรืออยู่เฉยๆ ก็ปวด มีขนร่วง กล้ามเนื้อขาลีบ เล็บแข็ง อาจมีเท้าเย็น มีแผลที่เท้าหรือส้นเท้าที่หายช้า แผลอาจลุกลามจนเกิดเนื้อเน่าตาย หากอาการเป็นแบบเฉียบพลันจะปวดรุนแรง มีนิ้วและเท้าดำเพราะขาดเลือดได้

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็ง

ปัจจัยเสี่ยงที่เห็นได้ชัดของโรคนี้ ต้องบอกว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ชายและผู้หญิงพอๆ กัน แต่จะพบมากในผู้สูงอายุที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือโรคหลอดเลือดสมองตีบอยู่ก่อนแล้ว เพราะมีหลอดเลือดแดงผิดปกติแบบเดียวกัน ส่วนผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ มีดังนี้

  1. สูบบุหรี่
  2. เป็นโรคเบาหวาน
  3. เป็นโรคความดันโลหิตสูง
  4. มีไขมันในเลือดสูง
  5. มีระดับสารโฮโมคริสตันในเลือดสูง

วิธีการตรวจและวินิจฉัย

เมื่อมีอาการน่าสงสัย แพทย์จะทำการซักประวัติ และการตรวจร่างกาย รวมถึงการตรวจชีพจรเท้า

การตรวจประเมินภาวะหลอดเลือดแดงแข็งด้วยการวัด ABI

ทำได้การวัด ABI (Ankle Brachial Blood Pressure Index) คือ การวัดแรงดันโลหิตตรงส่วนปลายขาเทียบสัดส่วนกับที่แรงดันโลหิตแขนข้างเดียวกัน (แขนขวาเทียบกับขาขวา และแขนซ้ายเทียบกับขาซ้าย)

 

ถ้าวัดค่าได้น้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.9 แสดงว่าการไหลเวียนของเลือดตรงส่วนปลายขามีปัญหา ปัญหาจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับค่าที่วัดได้ คือค่ายิ่งน้อยมากๆ แสดงว่าการอุดตันของเส้นเลือดส่วนปลายมีมาก และอาจมีหลายจุด นอกจากนี้ผลจากการวัดยังสามารถนำไปใช้ประเมินเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมองได้ด้วย คือหากใครมีปัญหาเส้นเลือดที่ขาให้พึงระวังว่ามีโอกาสสูงที่จะมีปัญหาเส้นเลือดที่หัวใจและสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และการเสียชีวิตได้ด้วยเช่นกัน

 

การวัด ABI นี้ จะต้องทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินการเต้นของชีพจรของท่านว่ามีปัญหาหรือไม่ ถ้ามีปัญหาแพทย์จะส่งผู้ป่วยวัด ABI ทันที การวัดนี้อาจวัดโดยการใช้เครื่องวัดความดันธรรมดาร่วมกับการฟังโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือถ้าชีพจรเสียงค่อยมาก จะใช้เครื่องช่วยฟังที่เรียกว่า Doppler

 

นอกจากนี้ อาจมีการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ ตามความจำเป็น เช่น การสแกนหลอดเลือด การตรวจด้วยเลเซอร์ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การฉีดสารทึบแสง รวมทั้งการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

 

ดังนั้น ผู้ที่เป็นเบาหวาน ควรได้รับการตรวจประเมินการไหลเวียนของเลือดที่ส่วนปลายขาแต่เนิ่นๆ เพื่อให้การดูแลรักษาและรับคำแนะนำที่เหมาะสม  ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดแผลและการสูญเสียนิ้วเท้า เท้าและขาได้ด้วย


แชร์

Loading...
Loading...
Loading...