หนึ่งในปัญหาสุขภาพของคนวัยทำงานและผู้สูงอายุที่พบบ่อยคือมีอาการปวดหลัง ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท หรือหมอนรองกระดูกอักเสบ ซึ่งแต่ละกรณีจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดในลักษณะที่แตกต่างกันไป หลายคนหลีกเลี่ยงที่จะพบแพทย์หรือคิดว่าเป็นเพียงอาการปวดหลังทั่วไป หรือเมื่อตรวจพบสาเหตุแล้วก็ยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด ดีที่ว่าในปัจจุบันนั้นมีทางเลือกในการรักษาหรือบรรเทาอาการปวดโดยไม่ต้องผ่าตัด นั้นคือ การทำ Nerve Block และ Radiofrequency Ablation (RFA) นั่นเอง
หน้าที่และความสำคัญของกระดูกสันหลัง
กระดูกสันหลัง (spine) คือโครงสร้างกระดูกที่ยาวและต่อเนื่องจากฐานของกะโหลกศีรษะ โดยเริ่มจากกระดูกสันหลังส่วนคอ อก เอว กระเบนเหน็บ ไปจนถึงก้นกบ ซึ่งมีหน้าที่รองรับน้ำหนักตัว ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่น เช่น การยืดและก้มตัว หรือบิดตัว โดยมีหมอนรองกระดูกเป็นตัวช่วยดูดซับแรงกระแทก
ตัวกระดูกสันหลังยังช่วยปกป้องไขสันหลัง (spinal cord) ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของระบบประสาทส่วนกลาง โดยประสาทไขสันหลังจะอยู่ภายในช่องกระดูกสันหลัง ทำหน้าที่เป็นทางเดินของสัญญาณประสาทในการสั่งงานระหว่างสมองกับร่างกาย
หากกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย อาจส่งผลต่อการทำงานของไขสันหลังและระบบประสาท จนทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือมีอาการอัมพฤกษ์อัมพาตได้
อาการปวดหลังเกิดจากอะไรได้บ้าง?
อาการปวดหลังอาจแยกได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือเกิดจาก ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ เช่น ตึงปวดจากการใช้งานที่หนักเกินไป หรืออยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน มีภาวะกล้ามเนื้ออักเสบจากการใช้งานหนัก รวมไปถึงการเกิดอุบัติเหตุหรือได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อจากการกระทบกระแทก การบาดเจ็บจากการใช้งานซ้ำ หรือเกิดจากความเครียดก็ได้
ส่วนอาการปวดที่เกิดจาก ระบบประสาทและกระดูกสันหลัง ก็เช่น เป็นโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมหรือเคลื่อนมากดทับเส้นประสาท ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบทำให้เกิดกระดูกงอก โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบซึ่งทำให้ช่องไขสันหลังไปกดทับเส้นประสาท โรคกระดูกสันหลังคดหรือผิดปกติ รวมไปถึงโรคกระดูกพรุนก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กระดูกสันหลังเปราะบางจนนำไปสู่การแตกร้าวของกระดูกได้ การเกิดเนื้องอกกดทับบริเวณกระดูกสันหลัง หรือมีการติดเชื้อในกระดูกสันหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทไขสันหลัง จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลัง
ทั้งนี้ อาการปวดหลังที่มีอาการชา อ่อนแรง หรือร้าวไปที่ขาหรือแขนร่วมด้วย มักเกี่ยวข้องกับระบบประสาทไขสันหลัง การวินิจฉัยจึงจำเป็นต้องตรวจร่างกาย และส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น X-ray, MRI หรือ CT scan รวมไปถึงการทำ Nerve Blocks และ Radiofrequency Ablation (RFA) เพื่อการวินิจฉัยหารอยโรค และรักษาอาการปวด ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยในการค้นหาจุดปวด และให้การรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยลดการเจ็บปวดของผู้ป่วยลงได้
Nerve Blocks และ Radiofrequency Ablation (RFA) คืออะไร?
Nerve Blocks และ Radiofrequency Ablation (RFA) เป็นหนึ่งในวิธีการวินิจฉัยและรักษาอาการเจ็บปวด โดยไม่ต้องทำหัตถการใหญ่หรือผ่าตัด เพื่อจัดการกับอาการปวดเฉียบพลันและเรื้อรัง ซึ่งสามารถใช้กับ 2 กลุ่มอาการปวด คือ
- Nociceptive pain คือกลุ่มอาการที่เกิดจากความเสียหายของเนื้อเยื่อ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยปวดหลังในแต่ละส่วน หรือปวดหลังภายหลังการผ่าตัดเพราะเนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บ รวมถึงอาการปวดข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อไหล่ และการปวดกล้ามเนื้อ
- Neuropathic pain เป็นกลุ่มอาการปวดที่เกิดจากความเสียหายของเส้นประสาท โดยอาการจะแตกต่างกันตามตำแหน่งและสาเหตุ เช่น
-
- Radiculopathy คืออาการปวดที่เกิดจากการถูกกดทับหรือการระคายเคืองของเส้นประสาทไขสันหลัง (spinal nerve roots) มักเกิดจากกระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกสันหลังถูกกดทับ ทำให้มีอาการปวด ชา อ่อนแรง หรือเสียวซ่าในบริเวณที่เส้นประสาทถูกกดทับ
- Trigeminal Neuralgia คือภาวะที่เกิดจากการถูกกดทับหรือมีการระคายเคืองของเส้นประสาทไตรเจมินัล (trigeminal nerve) ซึ่งควบคุมความรู้สึกของใบหน้า ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเฉียบพลันและรุนแรงบริเวณใบหน้า โดยมักเกิดเป็นช่วงๆ หรือขณะพูด เคี้ยวอาหาร ล้างหน้า และสัมผัสใบหน้า
การรักษาอาการปวดด้วยวิธี Nerve Blocks และ Radiofrequency Ablation (RFA) โดยไม่ต้องผ่าตัด
Nerve Blocks และ Radiofrequency Ablation (RFA) เป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาอาการปวดเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาท ซึ่งจะไปช่วยลดความรู้สึกปวดโดยการยับยั้งสัญญาณประสาทจากเส้นประสาทที่ก่อให้เกิดอาการปวดในระบบประสาท กล้ามเนื้อและกระดูก มักใช้ในกรณีที่การรักษาอื่นๆ ไม่ได้ผลดีพอ หรือต้องการบรรเทาอาการปวดอย่างเร่งด่วน และเป็นทางเลือกของผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ซึ่งทั้ง 2 วิธีจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดดังนี้
1. Nerve Blocks หรือ การฉีดยาชาเข้าที่เส้นประสาท
การฉีดยาชาเข้าที่เส้นประสาท (Nerve Blocks) จะใช้เพื่อการบรรเทาอาการปวดเฉพาะที่ชั่วคราว โดยใช้ยาชาหรือในบางกรณีอาจใช้สารต้านการอักเสบชนิดสเตียรอยด์ ซึ่งจะช่วยหยุดการส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมองได้ชั่วคราว โดยยาชาเฉพาะที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดในระยะสั้น ในขณะที่สเตียรอยด์สามารถยืดระยะเวลาในการบรรเทาอาการปวดออกไปได้นาน 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของการบล็อก ซึ่งการทำ Nerve Blocks จะให้ประโยชน์ดังนี้
- เพื่อลดหรือบรรเทาอาการปวดเฉพาะที่ชั่วคราว โดยเฉพาะอาการปวดจากการอักเสบของข้อ ข้อต่อสันหลัง หรือหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
- ใช้ในการรักษาอาการปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) ปวดคอ ปวดหลังเรื้อรัง รวมถึงปวดจากข้ออักเสบ (arthritis) และโรคกระดูกสันหลังเสื่อม (degenerative disc disease)
- ช่วยในการวินิจฉัยหรือระบุตำแหน่งของเส้นประสาทที่มีความเจ็บปวด โดยเมื่อมีการฉีดยาชาไปที่เส้นประสาทหรือกลุ่มเส้นประสาทเฉพาะ ถ้าผู้ป่วยรู้สึกปวดลดลงอย่างมากหลังจากการบล็อกเส้นประสาท ก็แสดงว่าเส้นประสาทที่ได้รับการฉีดยาชานั้นน่าจะเป็นแหล่งที่มาของความเจ็บปวด
- บางกรณีใช้เป็นวิธีรักษาระยะสั้น หรือเพื่อเป็นขั้นตอนก่อนทำ RFA เพื่อยืนยันว่าปัญหาหรืออาการเจ็บปวดนั้นเกิดจากเส้นประสาทเฉพาะที่
- อาจพิจารณาใช้ในกรณีผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะเรื้อรังและปวดใบหน้าที่มีจุดกระตุ้น (trigger points) ที่คาดว่าจะเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรน ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ ปวดศีรษะจากระบบประสาทไตรเจมินัล (trigeminal autonomic cephalalgias) ปวดจากเส้นประสาทไตรเจมินัล (trigeminal neuralgia) หรือปวดศีรษะจากกระดูกคอ (cervicogenic headaches) แต่ตรวจด้วยการทำ X-ray, MRI หรือ CT Scan แล้วไม่พบสาเหตุและระบุโรคได้ไม่แน่ชัด
2.Radiofrequency Ablation (RFA) หรือ การทำลายเนื้อเยื่อเส้นประสาทบางส่วนด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง
การทำ RFA เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดเช่นกัน โดยแพทย์จะใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงเพื่อทำให้เกิดความร้อนขึ้นที่ปลายเข็ม ซึ่งสอดเข้าไปในบริเวณเส้นประสาทที่เป็นต้นเหตุของอาการเจ็บปวด ความร้อนนี้จะทำลายเนื้อเยื่อเส้นประสาทบางส่วน ซึ่งจะหยุดการส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมองได้อย่างยาวนานเป็นหลักหลายเดือนหรือเป็นปี จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อวิธีการรักษาอื่นๆ โดยให้ผลยาวนานกว่าการรักษาด้วยการทำ Nerve Block จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดและตอบสนองต่อการทำ Nerve Block ได้ดี แต่ต้องการการรักษาที่ให้ยาวนานขึ้น โดยการทำ RFA จะทำเพื่อวัตถุประสงค์ดังนี้
- ใช้ในการรักษาอาการปวดเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับข้อต่อและกระดูกสันหลัง หรือเส้นประสาทที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่นๆ เช่น อาการปวดที่เกิดจากภาวะกระดูกสันหลังเสื่อม ข้อต่ออักเสบ (facet joint pain) หรือหมอนรองกระดูกเสื่อม ซึ่งทำให้ปวดหลังหรือปวดคอเรื้อรัง
- ใช้รักษาอาการปวดจากโรคระบบประสาท เช่น อาการปวดหลังจากโรคงูสวัด (postherpetic neuralgia) หรือโรคปวดเส้นประสาทใบหน้า (trigeminal neuralgia)
ทั้งนี้ การทำ RFA อาจไม่ได้มีบทบาทโดยตรงในการวินิจฉัยโรคหรือค้นหาจุดปวด แต่แพทย์อาจใช้วิธีนี้ในการบล็อกเส้นประสาทเพื่อยืนยันโรค ถ้าการบล็อกได้ผลดี อาจพิจารณาใช้ RFA เป็นทางเลือกในการรักษาต่อไป
Radiofrequency Ablation (RFA) แบบทั่วไปและแบบพัลส์
การรักษาอาการปวดด้วยการทำลายเนื้อเยื่อเส้นประสาทบางส่วนด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง หรือ RFA ยังแบ่งย่อยเป็น 2 ประเภท ตามวัตถุประสงค์ในการรักษา คือ
- RFA แบบทั่วไป (Conventional RFA) ที่ใช้ความร้อนในอุณหภูมิ 80-90°C ซึ่งจะไปทำลายเนื้อเยื่อเส้นประสาทอย่างถาวร โดยแพทย์จะใช้เพื่อการทำลายเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงข้อต่อ และต้องการทำลายระบบประสาทในส่วนนั้นๆ แบบถาวร กรณีนี้อาจใช้ก่อนทำการผ่าตัด
- RFA แบบพัลส์ (Pulsed RFA) จะให้ความร้อนเป็นช่วงสั้นๆ ที่อุณหภูมิ 42-45°C วิธีนี้เส้นประสาทจะไม่เสียหายถาวร แต่จะช่วยลดการส่งสัญญาณความเจ็บปวดในขณะที่เส้นประสาทยังคงทำงานได้ แพทย์จะใช้ในกรณีที่ต้องการรักษาการทำงานของเส้นประสาทไว้ เช่น การรักษาอาการเจ็บปวดที่เกิดจากเส้นประสาทไตรเจมินัล (trigeminal nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทหลักที่ทำหน้าที่รับรู้ความรู้สึกบริเวณใบหน้า หรือกลุ่มอาการ Complex Regional Pain Syndrome (CRPS) ที่เกี่ยวกับความเจ็บปวดรุนแรงและเรื้อรังที่เกิดจากการบาดเจ็บ โดยมักเกิดที่มือ ขาหรือแขน โดยมีอาการแสดงที่ชัดเจน เช่น การบวม การเปลี่ยนสีผิว และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า “Nerve Blocks” และ “Radiofrequency Ablation” (RFA) มีประโยชน์ในการระบุแหล่งที่มาของความเจ็บปวด และยังช่วยบรรเทาอาการหรือรักษาอาการปวดทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่พร้อมรับการผ่าตัด หรือรักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้วไม่ได้ผล แต่การจะเลือกรักษาด้วยวิธีใดใน 2 วิธีนี้ ก็ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค ซึ่งแพทย์ผู้ชำนาญการด้านประสาทศัลยศาสตร์จะเป็นผู้พิจารณาร่วมกับตัวผู้ป่วย เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด และเหมาะสมที่สุดนั่นเอง
นพ.เอกพจน์ จิตพันธ์
ศัลยแพทย์ระบบประสาท และประสาทไขสันหลัง
โรงพยาบาลพญาไท1