ทางเลือกใหม่ในการรักษามะเร็งเต้านม New Regimen for Breast Cancer

พญาไท 2

2 นาที

อ. 19/11/2024

แชร์


Loading...
ทางเลือกใหม่ในการรักษามะเร็งเต้านม New Regimen for Breast Cancer

มะเร็งเต้านม นับเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงไทย โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่เกือบ 18,000 ราย หรือเฉลี่ยวันละ 49 คน ทั้งยังพบการกลับมาเป็นซ้ำที่ค่อนข้างสูงกว่ามะเร็งชนิดอื่น โดยช่วงอายุที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงคือ 45-55 ปี แต่ผู้ที่อายุน้อยกว่านี้ก็พบได้บ่อยขึ้น ทั้งยังมีความรุนแรงของโรคมากกว่า ดังนั้น ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนจึงไม่ควรละเลยที่จะเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม เพราะการตรวจพบเร็ว รักษาไว จะมีโอกาสหายได้สูงขึ้น

 

การรักษามะเร็งเต้านม

การผ่าตัดเอาก้อนเนื้อหรือเซลล์มะเร็งออก (lumpectomy) หรือการผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด (mastectomy) ยังถือเป็นวิธีการหลักในการรักษามะเร็งเต้านม ซึ่งมักทำร่วมกับการใช้รังสีรักษา (Radiation Therapy) โดยฉายไปยังบริเวณที่ได้รับการผ่าตัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ รวมถึงการให้เคมีบำบัด (Chemotherapy) ร่วมกับยามุ่งเป้า ซึ่งอาจให้ทั้งก่อนการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของก้อนมะเร็ง และหลังการผ่าตัดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการกลับมาเป็นซ้ำ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาและคิดค้นยาชนิดใหม่ๆ ที่เรียกว่า ‘ยามุ่งเป้า’ หรือ ‘Targeted Therapy’ จึงนับเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาที่ให้ผลดีหลายด้าน

 

ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) คืออะไร?

ปัจจุบันเราพบว่า เซลล์มะเร็งแต่ละชนิดจะมีคุณลักษณะเฉพาะตัวจากการกลายพันธุ์ของยีนที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อการแบ่งเซลล์เพื่อการเจริญเติบโต รวมถึงการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของร่างกาย และการสร้างเส้นเลือดใหม่ของเซลล์มะเร็งเอง การรักษาด้วย ‘ยามุ่งเป้า’  หรือ ‘Targeted Therapy’ จึงได้รับการพัฒนาให้ตัวยามีความสามารถในการยับยั้งและทำลายกระบวนการต่างๆ แบบเฉพาะเจาะจงกับกลไกที่เซลล์มะเร็งชนิดนั้นๆ ใช้ในการเจริญเติบโตและการแพร่กระจาย ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษา ยังทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นจากผลข้างเคียงที่น้อยลงกว่าการใช้ยาแบบเดิม หรือการใช้เคมีบำบัดและรังสีรักษา โดยยามุ่งเป้าจะมีทั้งในรูปของยารับประทานและยาฉีด

ประโยชน์และกลไกการทำงานของยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) ในการรักษามะเร็ง

  • ช่วยยับยั้งการทำงานของ Pathway หรือเส้นทางการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งหยุดขยายตัวและระงับการแพร่กระจายที่รวดเร็ว เป็นการกำจัดเซลล์มะเร็งที่ตรงจุดกว่าการใช้เคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว
  • ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถระบุและทำลายเซลล์มะเร็งที่คอยหลบหลีกการตรวจจับได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ช่วยหยุดกระบวนการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Angiogenesis) ที่ใช้เลี้ยงเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งได้รับเคมีบำบัดมากขึ้น และหยุดการเจริญเติบโต
  • ช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการทำลายเซลล์ที่ผิดปกติหรือเซลล์มะเร็งที่หลบเลี่ยงการถูกทำลายจากกระบวนการทำลายเซลล์ตามธรรมชาติ (Apoptosis)

 

ทั้งนี้ แม้การรักษาด้วยยามุ่งเป้าจะไม่ช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาเคมีบำบัด และยังอาจส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ ได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นอาการทางผิวหนัง เช่น ผื่น ผิวแห้ง คัน ขอบเล็บอักเสบ หรืออาการของระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย ท้องผูก รวมถึงอาการด้านอื่นๆ เช่น ภูมิคุ้มกันลดลง เม็ดเลือดขาวต่ำ การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ แผลหายช้า  อ่อนเพลีย ความดันโลหิตสูง ผมและขนร่วง เป็นต้น

 

การรักษามะเร็งเต้านมด้วยยามุ่งเป้า หรือ Targeted Therapy

การใช้ยามุ่งเป้าที่เหมาะสมและให้ผลดีจะต้องสอดคล้องกับสารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งที่ตรวจพบ เช่น

  • การรักษามะเร็งเต้านมที่มีโปรตีนชนิด HER2-positive 

มะเร็งเต้านมชนิด HER2-positive พบได้ประมาณ 20% ของผู้ป่วยทั้งหมด การมีโปรตีน HER2 (Human Epidermal Growth Factor Receptor 2) ที่สูงจะทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ซึ่งการใช้ยามุ่งเป้า Trastuzumab, Pertuzumab และ Lapatinib จะไปช่วยยับยั้งโปรตีน HER2 และลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการใช้ยา T-DM1 และTrastuzumab deruxtecan ที่ช่วยให้ยาเคมีบำบัดที่ใช้ในการรักษาร่วม มุ่งตรงเข้าสู่เซลล์มะเร็งที่มี HER2 โดยตรง จึงช่วยลดผลข้างเคียงได้ดีกว่าการใช้ยาแบบเดิม ทั้งยังสามารถใช้ได้กับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งในระยะแรกและระยะแพร่กระจาย เป็นการยืดอายุของผู้ป่วย ลดโอกาสการเป็นซ้ำหลังการผ่าตัด และเพิ่มโอกาสในการหายขาดได้ในบางราย

 

  • การรักษามะเร็งเต้านมที่มีตัวรับฮอร์โมนเป็นบวก (HR+) และ HER2-negative

การรักษามะเร็งเต้านมที่มีตัวรับฮอร์โมนเป็นบวก (HR+) และ HER2-negative ด้วยการใช้ยา Palbociclib, Ribociclib, และยา Abemaciclib จะไปยับยั้ง CDK4 และ CDK6 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะในมะเร็งชนิดฮอร์โมนเป็นบวก ซึ่งเซลล์มะเร็งต้องการฮอร์โมนในการเจริญเติบโต โดยการรักษามักใช้ร่วมกับการบำบัดด้วยฮอร์โมน สามารถใช้ได้ทั้งกับมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นและระยะที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด

 

  • การรักษามะเร็งเต้านมที่มียีนกลายพันธุ์ BRCA1 หรือ BRCA2

การรักษามะเร็งเต้านมที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 จะมีการใช้ยา Olaparib และ Talazoparib เพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ PARP (Poly ADP-Ribose Polymerase) โดยมุ่งเป้าไปที่การทำให้เซลล์มะเร็งตายลงเพราะไม่สามารถซ่อมแซม DNA ที่เสียหายได้ มักใช้ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลามที่มีการกลายพันธุ์ใน BRCA1 หรือ BRCA2 และได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดมาแล้วเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งให้หมดไป

 

  • การรักษามะเร็งเต้านมด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)

เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันด้วยการใช้ยา เช่น Pembrolizumab ซึ่งจะช่วยยับยั้งการทำงานของโปรตีน PD-1 ที่อยู่บนเซลล์ภูมิคุ้มกัน (T cells) ทำให้ T cells โจมตีหรือทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น มักใช้ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด TRIPLE-negative ที่มี PD-L1 expression-positive

 

  • การรักษามะเร็งเต้านมด้วยฮอร์โมนบำบัด (Hormone Therapy)

เป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไปสำหรับมะเร็งเต้านมที่มีตัวรับฮอร์โมนเป็นบวก (HR-positive) โดยยา Tamoxifen จะทำหน้าที่ปิดกั้นตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเซลล์มะเร็งเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโต ในขณะเดียวกันยากลุ่ม Aromatase Inhibitors เช่น Anastrozole, Letrozole, และ Exemestane จะทำหน้าที่หยุดการผลิตเอสโตรเจนในผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน รวมถึงยา Fulvestrant ที่จะเข้าไปยึดจับกับตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้ตัวรับเหล่านั้นถูกทำลาย เซลล์มะเร็งจึงไม่สามารถเจริญเติบโตได้

 

อย่างไรก็ตาม การรักษามะเร็งเต้านมด้วยยาประเภทต่างๆ เหล่านี้ จะได้รับการออกแบบเพื่อการรักษาเฉพาะบุคคล จากแพทย์ผู้ชำนาญการด้านมะเร็งเต้านมและสหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาจากชนิด สารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็ง รวมถึงระยะและความรุนแรงของโรค ทั้งนี้ การรักษามะเร็งมักต้องใช้เวลาที่ค่อนข้างยาวนานและต่อเนื่อง ดังนั้น กำลังใจของผู้ป่วยจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เราจึงให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการเลือกวิธีรักษา ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมาย ไปจนถึงความต้องการในขณะทำการรักษา เพื่อวางแผนการรักษาให้ตรงกับความต้องการและความสบายใจของตัวผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแลให้มากที่สุดในทุกๆ ด้าน


แชร์

Loading...
Loading...
Loading...