มะเร็งรังไข่ ภัยเงียบอันตรายที่ผู้หญิงต้องระวัง รู้สัญญาณอาการเตือน แนวทางป้องกัน-รักษา

 มะเร็งรังไข่ ภัยเงียบอันตรายที่ผู้หญิงต้องระวัง รู้สัญญาณอาการเตือน แนวทางป้องกัน-รักษา

มะเร็งรังไข่” หนึ่งในมะเร็งภัยเงียบที่ผู้หญิงต้องระวังในอันดับต้น จากสถิติทั่วโลกพบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ รายใหม่ประมาณ 295,000 คนต่อปี (อ้างอิงจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในรายงานเรื่อง “Globocan 2020”)

 

สำหรับประเทศไทย โรคทางอวัยวะสืบพันธุ์ของสตรีนั้น สามารถพบโรคมะเร็งรังไข่ได้บ่อยเป็นอันดับ 2 รองลงมาจากมะเร็งปากมดลูก และเป็นอันดับ 6 ของมะเร็งทั้งหมดที่พบในหญิงไทย ถือเป็นภัยอันตรายที่ ๆ ผู้หญิงต้องเฝ้าระวัง เพราะมะเร็งรังไข่ มักไม่อาการบ่งชี้ชัด แต่สามารถรู้ทันและป้องกันโรคได้ หรือเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ก่อนอาการรุกรามจนสายเกินไป

 

สารบัญ มะเร็งรังไข่

  1. มะเร็งรังไข่ คืออะไร ?
  2. รู้จักระยะ มะเร็งรังไข่
  3. มะเร็งรังไข่มีอาการอย่างไร ? รู้สัญญาณเตือนที่ต้องรีบพบแพทย์
      • อาการมะเร็งรังไข่ระยะสุดท้าย คืออะไร ?
  1. สาเหตุมะเร็งรังไข่ และปัจจัยเสี่ยง
  2. วิธีการตรวจมะเร็งรังไข่ มีกี่แบบ ?
  3. แนวทางการ รักษามะเร็งรังไข่
  4. มะเร็งรังไข่รักษาหายไหม ?
  5. มะเร็งรังไข่ป้องกันได้หรือไม่ ?

 

มะเร็งในรังไข่

มะเร็งรังไข่ คืออะไร ?

 

มะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งรังไข่ (Ovarian Cancer) คือ โรคมะเร็งที่เกิดขึ้นจากเซลล์ผิดปกติในรังไข่ของผู้หญิงและเจริญเติบโตขึ้น โดยเซลล์เหล่านี้จะแบ่งตัวและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและผิดปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้องอก หรือมะเร็ง

รังไข่เป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง เช่น เอสโตรเจนและโปรเจสเตอรอน รวมถึงการผลิตไข่ สำหรับตั้งครรภ์ สิ่งที่น่ากลัวคือมะเร็งรังไข่ในระยะต้นนั้นจะไม่มีอาการแสดง หากรอให้มีอาการแล้ว มะเร็งรังไข่มักจะเป็นระยะที่เกิดการแพร่กระจายและเป็นมากแล้ว สามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

 

ข้อควรรู้ : มะเร็งรังไข่เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบได้บ่อยในระบบสืบพันธุ์สตรี และเป็นมะเร็งที่รักษายากเนื่องจากอาการในระยะแรกมักไม่มีหรือไม่ชัดเจน ทำให้วินิจฉัยได้ยาก อีกทั้งยังเป็นมะเร็งที่รุนแรงและมีอัตราการรอดชีวิตต่ำในระยะท้าย การรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือในระยะแรกเริ่ม จึงมีความสำคัญ เพราะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้

 

รู้จักระยะ มะเร็งรังไข่

 

มะเร็งรังไข่มีกี่ระยะ ? ระยะไหน ที่เพิ่มโอกาสรอด

การแบ่งระยะของมะเร็งรังไข่ใช้ระบบของ FIGO (International Federation of Gynecology and Obstetrics) เป็นหลัก โดยแบ่งออกเป็น 4 ระยะใหญ่ดังนี้

 

ระยะ 1 (Stage I) มะเร็งจำกัดอยู่เฉพาะในรังไข่

  • ระยะ 1A มะเร็งอยู่ในรังไข่เพียงข้างเดียว
  • ระยะ 1B มะเร็งลุกลามไปที่ทั้งสองรังไข่
  • ระยะ 1C มีการแพร่กระจายออกมานอกรังไข่เช่นผิวรังไข่ , มีเซลล์มะเร็งในน้ำในช่องท้อง (ไม่เห็นด้วยตาเปล่า)

 

ระยะ 2 (Stage II) มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ ภายในบริเวณอุ้งเชิงกราน

  • ระยะ 2A มะเร็งลุกลามไปยังมดลูก และ/หรือท่อนำไข่
  • ระยะ 2B มะเร็งลามไปยังอวัยวะอื่นๆในอุ้งเชิงกราน

 

ระยะ 3 (Stage III) มะเร็งลุกลามไปนอกบริเวณอุ้งเชิงกรานอยู่ในช่องท้องส่วนบน

  • ระยะ 3A มะเร็งกระจายนอกอุ้งเชิงกราน แต่ขนาดเล็กไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่า ขนาดไม่เกิน 2 ซม.
  • ระยะ 3B มะเร็งกระจายนอกอุ้งเชิงกราน ขนาด > 2 ซม. หรือกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกราน
  • ระยะ 3C มะเร็งแพร่กระจายไปที่เยื่อบุชายแดนบริเวณช่องท้อง

 

ระยะ 4 (Stage IV) มะเร็งลุกลามไปอวัยวะนอกช่องท้องเช่น ปอด ตับ สมอง

ทั้งนี้การพยากรณ์โอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยระยะของมะเร็งรังไข่ที่ตรวจพบในระยะเริ่มแรก และเข้ารับการรักษาทันทีจะมี โอกาสรอดชีวิตก็จะสูงขึ้น

 

มะเร็งรังไข่มีอาการอย่างไร ? รู้สัญญาณเตือนที่ต้องรีบพบแพทย์

 

มะเร็งรังไข่ อาการเริ่มแรกอาจไม่มีหรือไม่ชัดเจน แต่เมื่อโรคลุกลามมากขึ้นจะเริ่มมีอาการต่าง ๆ เช่น

 

  • ปวดท้องน้อยหรือรู้สึกอึดอัดในบริเวณท้อง
  • อาหารไม่ย่อย รู้สึกอิ่มเร็วหลังการรับประทานเพียงเล็กน้อย
  • มีอาการท้องผูก หรือปวดปัสสาวะบ่อย
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • มีไข้ต่ำ ๆ เรื้อรัง เหนื่อยง่ายหรือไม่มีแรง
  • มีอาการปวดท้องเฉียบพลันอาการบิดขั้ว
  • คลำได้ มีก้อนในท้อง

อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงมะเร็งรังไข่และควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุโดยเร็ว อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้ก็สามารถพบได้ในโรคอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นการวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช จึงมีความสำคัญมาก

 

อาการมะเร็งรังไข่ระยะสุดท้าย คืออะไร ?

ในระยะสุดท้ายของมะเร็งรังไข่ อาการต่าง ๆ จะทวีความรุนแรงมากกว่าอาการที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากมะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะสำคัญต่าง ๆ อาการที่อาจพบในระยะนี้ ได้แก่

 

  • ปวดท้องรุนแรง เนื่องจากมีก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่ในช่องท้อง อาจทำให้ท้องพอง
  • น้ำหนักลดลงอย่างมาก จากอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดหรือทวารหนัก
  • หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย อ่อนแรง จากการที่มะเร็งลุกลามไปยังปอด
  • ขาบวมนูน เนื่องจากมะเร็งกดทับหลอดเลือดดำ
  • ปัสสาวะลำบาก หรือปวดแสบปัสสาวะจากการที่มะเร็งลุกลามไปที่กระเพาะปัสสาวะ
  • ท้องผูกรุนแรง จากการที่มะเร็งกดทับลำไส้
  • อ่อนเพลียและเหนื่อยล้าอย่างมาก เนื่องจากร่างกายพยายามต่อสู้กับโรคร้ายแรง
  • มีภาวะซีด เนื่องจากโลหิตจาง สาเหตุจากการสูญเสียเลือดจำนวนมาก

 

ในบางรายอาจพบอาการร้ายแรงอื่น ๆ อีก เช่น เกร็งกล้ามเนื้อ สับสน ประสาทหลอน จากผลกระทบของโรคที่ลุกลามไปยังสมองและระบบประสาท หากพบอาการดังกล่าว แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน เนื่องจากบ่งชี้ได้ว่าอยู่ในระยะท้ายของมะเร็ง ซึ่งมีความอันตรายสูง

 

สาเหตุมะเร็งรังไข่ และปัจจัยเสี่ยง

มะเร็งรังไข่ สาเหตุที่แท้จริงยังคงไม่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่อาจเป็นสาเหตุหรือเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดโรคนี้ได้ เช่น

  1. ปัจจัยทางพันธุกรรม เคยเป็นมะเร็งเต้านม
    • เคยมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งรังไข่ ท่อนำไข่ หรือเต้านม จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ได้มากกว่าบุคคลทั่วไป
    • การมียีนบางชนิดที่ผิดปกติ เช่น BRCA1 และ BRCA2 เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่อย่างชัดเจน
  2. ปัจจัยด้านฮอร์โมน
    • ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด (Combined Oral Contraceptive) ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่ได้
    • สตรีที่ไม่เคยตั้งครรภ์หรือคลอดบุตรครบกำหนด
    • การใช้ยาฮอร์โมนหลังจากเข้าวัยทอง (Menopause) แล้วจะมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่มากกว่าผู้ป่วยวัยทองที่ไม่ใช้ Hormones
  3. สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรม
    • การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของเนื้องอกรังไข่บางชนิด
    • การบริโภคอาหารที่บางประเภทช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่ได้ เช่นผัก อาหารไขมันต่ำ , Whole grain เลี่ยง Processed Food , น้ำตาล
    • ความอ้วนหรือโรคอ้วน BMI > 30
    • ไม่ออกกำลังกาย ส่งผลให้ฮอร์โมนทำงานผิดปกติ
  4. ปัจจัยด้านอายุ
  • ความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่มักจะเพิ่มตามอายุผู้ป่วยส่วนใหญ่มักพบหลังหมดประจำเดือนไปแล้ว (>50ปี)
  • มีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี
  • หมดประจำเดือนช้ากว่าอายุ 55 ปี

 

เพื่อลดความเสี่ยงจากสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ การเข้ารับการตรวจภายในอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งจะสามารถทำให้เราลดความเสี่ยงของการเกิด “มะเร็งรังไข่” ลงได้

 

วิธีการตรวจมะเร็งรังไข่ มีกี่แบบ ?

การตรวจเพื่อวินิจฉัยมะเร็งรังไข่นั้นอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น

 

1. การตรวจร่างกาย แพทย์จะทำการตรวจคลำบริเวณท้องและอุ้งเชิงกราน เพื่อหาก้อนเนื้องอกหรือการบวม
2. การตรวจเจาะเลือด การตรวจหาระดับของเอนไซม์ CA-125 ในเลือด ซึ่งจะสูงขึ้นในรายที่เป็นมะเร็งรังไข่ แต่ก็อาจสูงในภาวะอื่นๆด้วย เช่น มะเร็งมดลูก การตั้งครรภ์ เป็นต้น
3. คลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการสร้างภาพของอวัยวะภายใน สามารถตรวจพบก้อนเนื้องอกหรือของเหลวสะสมในมดลูกหรือรังไข่ได้

 

การตรวจมะเร็งรังไข่

วิธีการตรวจตาม ข้อ 1-3 เป็นวิธีการตรวจคัดกรองทั่วไป หากพบความผิดปกติก็จะส่งตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อระบุตำแหน่ง ขนาด และชนิดของมะเร็งให้แน่ชัด ด้วยวิธีการดังนี้

 

4.เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เป็นการใช้รังสีเอกซ์ร่วมกับคอมพิวเตอร์ในการสร้างภาพของอวัยวะภายในตัว สามารถระบุตำแหน่งและขนาดของก้อนมะเร็งได้
5.เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ใช้คลื่นแม่เหล็กและคลื่นวิทยุในการสร้างภาพของอวัยวะภายในร่างกาย มีความละเอียดสูงกว่า CT Scan
6.การตรวจเนื้อเยื่อวิทยา (Biopsy) เป็นการเจาะเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อหรือของเหลวจากก้อนเพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง การตรวจชิ้นเนื้อถือเป็นวิธียืนยันการวินิจฉัยที่แน่นอนที่
7.การผ่าตัดสำรวจช่องท้อง (Exploratory laparotomy หรือ Laparoscopy) เป็นการผ่าตัดเพื่อเปิดดูบริเวณช่องท้องและรังไข่โดยตรง ใช้ในกรณีที่มีข้อสงสัยและต้องการยืนยันการวินิจฉัยอย่างแน่ชัด โดยอาจจะเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจด้วย ถือเป็นวิธีการตรวจที่แม่นยำที่สุด

 

แนวทางการ รักษามะเร็งรังไข่

แนวทางการรักษามะเร็งรังไข่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะของโรค ประเภทและชนิดของมะเร็ง อายุและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยทั่วไปจะใช้วิธีการรักษาหลัก ดังนี้

 

  1. การผ่าตัดรักษา เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับมะเร็งรังไข่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดเนื้องอกและมะเร็งออกจากร่างกายให้มากที่สุด ประเภทของการผ่าตัดขึ้นอยู่กับระยะของโรค ได้แก่
    • การผ่าตัดตัดรังไข่ออกทั้งหมด (Total hysterectomy with bilateral salpingo-oophorectomy)
    • การผ่าตัดเอาเนื้องอกออกเท่าที่จะทำได้ (Debulking surgery)
    • การผ่าตัดเพื่อเอาอวัยวะอื่นๆ ที่มะเร็งแพร่กระจายไปถึงออกด้วย เช่น ลำไส้ ตับ ม้าม เป็นต้น
  1. เคมีบำบัด (Chemotherapy) เป็นการใช้ยาเคมีบำบัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจยังหลงเหลืออยู่ หลังจากผ่าตัดแล้ว โดยอาจจะให้ก่อนหรือหลังผ่าตัด ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ยาเคมีบำบัดที่นิยมใช้ ได้แก่ Carboplatin, Paclitaxel, Docetaxel, Gemcitabine เป็นต้น
  2. รังสีรักษา (Radiation therapy) ใช้รังสีความเข้มข้นสูงมากำจัดเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ มักจะใช้ร่วมกับการผ่าตัดหรือเคมีบำบัด สำหรับผู้ป่วยระยะลุกลามหรือระยะสุดท้าย
  3. รักษาด้วยยาเฉพาะเจาะจง (Targeted therapy) เป็นการใช้ยาที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อวางเป้าไปที่เซลล์มะเร็ง โดยจะจำกัดผลข้างเคียงต่อเซลล์ปกติใกล้เคียง ได้แก่ ยากลุ่ม PARP inhibitors, Angiogenesis inhibitors เป็นต้น
  4. การรักษาประคับประคอง (Palliative care) สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แล้ว โดยมุ่งเน้นการบรรเทาอาการและรักษาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยให้ดีที่สุด

การผสมผสานหลายวิธีการรักษาเข้าด้วยกัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสการรักษาหายขาดให้สูงขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ และดุลยพินิจของแพทย์ร่วมด้วย

 

มะเร็งรังไข่ รักษาหายไหม ?

มะเร็งรังไข่เป็นมะเร็งที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม โดยโอกาสการรอดชีวิตขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยดังนี้

 

  1. ระยะของโรคเมื่อแรกวินิจฉัย ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น (ระยะ 1) มีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง 90% หลังการรักษา แต่หากวินิจฉัยในระยะลุกลามแล้ว (ระยะ 3-4) อัตรารอดชีวิตจะลดลงเหลือประมาณ 30% เท่านั้น
  2. ประเภทและชนิดของมะเร็ง ชนิดของเซลล์มะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งรังไข่ชนิดรังไข่ในกลุ่ม Epithelial มักตอบสนองต่อการรักษาได้ผลดีกว่าบางชนิด
  3. การแพร่กระจายของเนื้องอก หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ มากแล้ว จะทำให้รักษายากและรอดชีวิตน้อยลง
  4. อายุและสภาพร่างกาย ผู้ป่วยที่อายุน้อยและมีร่างกายแข็งแรงทนทานต่อการรักษาได้ดีกว่า
  5. วิธีการและความสม่ำเสมอในการรักษา การรักษาด้วยการผ่าตัดควบคู่กับเคมีบำบัด มีประสิทธิภาพสูงกว่าการรักษาด้วยวิธีเดียว และความสม่ำเสมอในการรักษาก็มีส่วนสำคัญต่อผลลัพธ์

 

อย่างไรหากได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกวิธีในระยะแรกเริ่มของโรค มะเร็งรังไข่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นการเข้ารับการตรวจคัดกรองสม่ำเสมอจึงมีความสำคัญ เพื่อตรวจจับโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดมากขึ้น

 

มะเร็งรังไข่ป้องกันได้หรือไม่ ?

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันมะเร็งรังไข่ที่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากสาเหตุการเกิดโรคยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด อย่างไรก็ตามมีบางวิธีที่อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ได้ ดังนี้

 

  1. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
  • ไม่สูบบุหรี่ เนื่องจากสารพิษในบุหรี่เป็นตัวกระตุ้นในการเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ และมะเร็งชนิดอื่น ๆ ได้
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่น สารพิษ หรือรังสี
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ผ่านการปรุงแปรงมากเกินไป
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาน้ำหนัก
  1. การตั้งครรภ์และการให้นมบุตร

ผู้หญิงที่เคยตั้งครรภ์และให้นมบุตรมีความเสี่ยงต่อมะเร็งรังไข่น้อยกว่า เนื่องจากในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรนั้น รังไข่จะหยุดพักการตกไข่ ลดการสร้างฮอร์โมนเพศ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรค

  1. การใช้ยาคุมกำเนิดแบบรับประทาน

การใช้ยาคุมกำเนิดแบบรับประทานเป็นเวลานานอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งรังไข่ได้ประมาณ 40-60% เนื่องจากยาคุมกำเนิดทำให้รังไข่หยุดการตกไข่ชั่วคราว

  1. การผ่าตัดตัดรังไข่หรือท่อนำไข่

ในบางกรณีที่มีความเสี่ยงสูงมาก เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งรังไข่หรือมีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA อาจพิจารณาผ่าตัดตัดรังไข่หรือท่อนำไข่ออกเพื่อลดความเสี่ยงได้ (ขึ้นอยู่กับคนไข้และความคิดเห็นของแพทย์)

  1. การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอ

การคัดกรองเป็นวิธีป้องกันเพื่อให้เกิดความรุนแรง แม้จะไม่ได้ป้องกันโรคโดยตรง แต่ป้องกันความรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้สามารถตรวจพบมะเร็งรังไข่ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยแนะนำให้ผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป ได้รับการตรวจคัดกรองทุกปี

 

แม้มะเร็งรังไข่จะเป็นภัยเงียบ แต่การป้องกันโดยใช้วิธีต่าง ๆ ข้างต้นผสมผสานกัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ หากพบความผิดปกติ รีบรักษาเร็ว ก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้

 

พญ.เนตร บุญคุ้ม
สูตินรีแพทย์ ประจำศูนย์สุขภาพหญิง รพ.พญาไท 3


นัดหมายแพทย์

แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ



Loading...
Loading...