การเปลี่ยนแปลง
- ประจำเดือนไม่มาตามกำหนด
- มีอาการแพ้ท้อง เกิดจากระดับฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะแรกของการตั้งครรภ์ ทำให้มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน
- เต้านมขยายใหญ่ขึ้น คัดตึง เจ็บเต้านม
- เหนื่อย อ่อนเพลีย อยากนอนพักมากๆ
- ในรายที่ไม่แพ้ท้อง น้ำหนักตัวคงที่ หรือเพิ่มขึ้น 1 – 3 กก.
คำแนะนำ
- อาหาร ทานอาหารตามปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์เท่าที่ทานได้ ในรายที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย หรือเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เช่น น้ำหวาน และควรทานครั้งละน้อยๆ วันละ 4 – 6 มื้อ แต่พออิ่ม ไม่ควรบังคับว่าต้องทานปริมาณเท่านั้นเท่านี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเครียดให้กับตัวเอง หลักการสำคัญคือ ให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอ
- การฝากครรภ์ มีความสำคัญ เพื่อให้คุณแม่และบุตรในครรภ์ได้รับการดูแลตลอดระยะเวลา 9 เดือน แพทย์จะให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวต่างๆ ขณะตั้งครรภ์ ช่วยวินิจฉัยโรคบางอย่างระหว่างตั้งครรภ์ ป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อนของโรค โดยในระยะแรกแพทย์จะนัดตรวจทุก 4 สัปดาห์ จนถึงไตรมาสที่ 2 จึงจะนัดถี่ขึ้นเป็น 2 สัปดาห์และ 1 สัปดาห์ ตามลำดับ
- การฉีดวัคซีน ในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน จะฉีดวัคซีนบาดทะยัก 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือนในไตรมาสที่ 1 – 2 ส่วนวัคซีนอื่นๆ ไม่นิยมฉีดในขณะตั้งครรภ์ ยกเว้นมีความจำเป็นควรให้แพทย์เป็นผู้พิจารณา
- เพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ ไม่มีข้อห้ามในการมีเพศสัมพันธ์แต่อย่างใด ยกเว้นในรายที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เคยมีประวัติการแท้งบุตรมาแล้วหลายครั้ง หรือมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ในไตรมาสแรก ในรายที่เคยมีประวัติเคยคลอดบุตรก่อนกำหนด ควรงดเมื่อตั้งครรภ์ในไตรมาสสุดท้าย
อาการที่ควรพบแพทย์
- แพ้ท้องมาก จนทานอาหารไม่ได้เลย
- มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด ไม่ว่าจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วย หรือไม่ สาเหตุที่พบบ่อยของการมีเลือดออกในระยะนี้คือ ภาวะแท้งคุกคาม การตั้งครรภ์ไข่ลม
- ปวดมากบริเวณท้องน้อย ในระยะตั้งครรภ์อ่อนๆ อาจเกิดจากภาวะแท้งคุกคาม หรือจากการฝังตัวอ่อนผิดที่ (ตั้งครรภ์นอกมดลูก)
- ทางเดินปัสสาวะอักเสบ มีอาการปัสสาวะแสบ ขัดเจ็บ ปัสสาวะบ่อยเหมือนไม่สุด ปัสสาวะเป็นเลือด มีอาการต่างๆ เหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างรวดเร็ว ไม่ให้เกิดอันตรายต่อมารดาและทารกในครรภ์