คุณแม่ตั้งครรภ์จะเกิดอาการท้องผูกได้ง่าย เนื่องจากมดลูกมีการขยายใหญ่ขึ้นไปกดทับลำไส้ใหญ่ ทำให้การทำงานของระบบขับถ่ายไม่สมบูรณ์ รวมถึงผลจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการไหลเวียนของหลอดเลือดที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลทำให้หลอดเลือดบริเวณรอบทวารหนักขยายตัวและโป่งพองได้ โดยรวมก็คือการทำงานของลำไส้มีการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง จึงทำให้ท้องผูกขับถ่ายอุจาระลำบากขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้มีคุณแม่ตั้งครรภ์ท้องผูก
- ลำไส้ทำงานเปลี่ยนแปลงมีผลจากการตั้งครรภ์
- รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย
- ขาดการออกกำลังกาย
- ลำไส้ทำงานแปรปรวน
- มีลักษณะนิสัยการขับถ่ายที่ไม่ถูกต้อง
- การรับประทานวิตามินบางชนิดมีผลข้างเคียงที่ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ท้องผูกได้ เช่น การรับประทานวิตามินจำพวกธาตุเหล็กและแคลเซียม
เมื่อท้องผูกและต้องเบ่งจะเป็นอันตรายกับลูกในครรภ์หรือไม่?
ในการเบ่งถ่ายอุจจาระหากเป็นการออกแรงปกติ ไม่ใช่การเบ่งที่รุนแรง และไม่มีเลือดออกทางช่องคลอด ก็จะไม่ส่งผลกระทบกับลูกน้อย แต่คุณแม่อย่าลืมว่าการออกแรงเบ่งขับถ่ายมากๆ ไม่ส่งผลดีแต่อย่างใด อาจทำให้เกิดริดสีดวงทวารได้
ท้องผูก..ชนวนหลักริดสีดวงทวารหนักของคุณแม่ตั้งครรภ์
เมื่อตั้งครรภ์มดลูกจะขยายไปเบียดเส้นเลือดดำที่ทวารหนัก จึงเป็นที่มาของริดซี่ หรือริดสีดวงทวารหนัก ซึ่งมีลักษณะอาการ คือ เป็นก้อนยื่นออกมาจากทวารหนักขณะอุจจาระทั้งมีเลือดสดออกมาตามหลังอุจจาระรอบๆ ทวารหนักเปียกแฉะและคัน หากมีการอักเสบจะเจ็บปวดบริเวณทวารหนักได้ และกลายเป็นปัญหาสร้างความไม่สบายใจให้คุณแม่ตั้งครรภ์ เพื่อหลีกเลี่ยงริดสีดวงทวารหนักได้ โดยการป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องผูก
วิธีห่างไกลจากอาการท้องผูก
- ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตด้วยการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงมากขึ้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ 6-8แก้ว ต่อวัน
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาแฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์ทุกวัน
- สร้างสุขลักษณะนิสัยการขับถ่ายอุจจาระที่ดี
- ไม่ควรนั่งเบ่งถ่ายเป็นเวลานาน
- ไม่ควรเบ่งถ่ายอุจจาระแรงเกินไป
ปัญหาเรื่องอาการท้องผูก เมื่อเกิดขึ้นจะสร้างความรำคาญใจในชีวิตประจำวัน ถ้าคุณแม่ให้ความสำคัญด้านโภชนาการและการใช้ชีวิตเกี่ยวกับระบบขับถ่ายตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ก็จะช่วยลดปัญหาท้องผูกได้ด้วยอีกทางหนึ่ง